วันจันทร์ที่ 16 สิงหาคม พ.ศ. 2553

การบริหารจิต


การบริหารจิตหมายถึง การออกกำลังกายทางจิต ด้วยการทำจิตใจให้ผ่องใส มีจิตที่สะอาด บริสุทธิ์ บนพื้นฐานของการรักษาศีล การทำสมาธิ และการเจริญภาวนา สิ่งเหล่านี้ถ้าหากท่านทั้งหลาย สามารถบริหารจิตตนเองได้อย่างสม่ำเสมอ ท่านก็จะเป็นผู้มีพลังจิตที่แข็งแกร่ง และสามารถนำพลังจิตที่มีอยู่ในตัวของท่านมาใช้ประโยชน์ เพื่อความสุขในการดำเนินชีวิตได้อย่างราบรื่นไม่มีปัญหาอุปสรรคใด ๆ แต่ถ้าหากพลังจิตของเราได้สูญเสียไป ก็ย่อมมีผลต่อจิตใจของเราด้วย คือ จิตใจเริ่มอ่อนแอ ท้อถอย ไม่สู้

ดังนั้นในวันหนึ่ง ๆ เราต้องสูญเสียพลังจิตของเราไปโดยไม่รู้ตัวและบางครั้งก็รู้ตัว สำหรับในส่วนที่เราไม่รู้ตัวนั่นซิแย่ จะทำให้จิตใจของเราไม่เป็นสุข ความทุกข์ก็จะเข้ามาแทนที่ และต่อมาก็บั่นทอนร่างกายของเราให้ป่วยกายขึ้น เนื่องจากจิตใจไม่มีพลังแต่ถ้าหากเรารู้ตัวว่า วันนี้เราได้สูญเสียพลังจิตไปในด้านใดบ้างนั้นเราพอที่จะมีวิธีการเติมพลัง ให้กับจิตของตนเองได้ หรือทำภาวะจิตของเราให้มีกำลังเพิ่มขึ้นเหมือนปกติเช่นเดียวกับที่เราได้ออกกำลังกายแล้วเรารู้สึกว่าร่างกายสดชื่น ฉันใดก็ฉันนั้น จิตจของเราก็ต้องการออกกำลังกายเช่นเดียวกัน แต่เมื่อใดที่จิตได้ออกกำลังกาย จิตก็จะสดชื่นไปด้วย ไม่เหมือนกับที่เราออกกำลังกายแล้วทำให้ร่างกายสดชื่นก็จริง แต่บางครั้งจิตใจเราก็หดหู่ไม่สดชื่นเท่าที่ควร

ท่านทั้งหลายที่เคยออกกำลังกายมาสม่ำเสมอ ลองหันมาออกกำลังกายให้จิตของเราดูบ้าง ท่านจะได้รับผลอีกหลายเท่าตัว วิธีการออกกำลังกายทางจิตก็คือ การเติมพลังให้กับจิตนั่นเอง ลองปฏิบัติได้ดังนี้

เมื่อใดที่ท่านเกิดความรู้สึกว่า ร่างกายอ่อนเพลีย เหนื่อยล้าทางสมองหรือง่วงนอน ให้ท่านกำหนดสติโดยใช้ลมหายใจเข้า-ออก จะอยู่ในลักษณะการยืน การนั่ง หรือการนอนก็แล้วแต่ สภาวะเอื้ออำนวยโดยใช้เวลาเพียง 10 – 15 นาที จิตของท่านจะรู้สึกตื่นเบิกบาน และแช่มชื่นขึ้นกว่าปกติ ความรู้สึกที่เหนื่อยอ่อนเหนื่อยล้าก็จะหายไป และท่านก็สามารถที่จะปฏิบัติงาน หรือกระทำการอื่น ๆ ต่อไปได้ หรือเรียกสั้น ๆ จากวิธีดังกล่าวนี้ว่า คือ การกำหนดสมาธินั่นเอง ซึ่งวิธีการทำสมาธินั้นสามารถทำได้หลายวิธี เช่น นั่งสมาธิ นอนสมาธิหรือยืนสมาธิ โดยมีขั้นตอนของการทำสมาธิดังนี้ คือ
1.ก่อนเริ่มการปฏิบัติ ทำจิตใจให้สะอาด บริสุทธิ์ จิตใจตั้งมั่น ปล่อยวางสิ่งที่ค้างอยู่ในจิตใจชั่วขณะหนึ่งของการที่จะเริ่มเข้าสู่การปฏิบัติ

2.กำหนดท่านั่ง หรือนอน หรือยืน ในท่าที่สบาย ๆ เป็นธรรมชาติสำหรับตนเอง ไม่เกร็งกล้ามเนื้อของทุก ๆ ส่วนในร่างกาย ปล่อยร่างกายให้เป็นไปตามธรรมชาติ

3.ค่อย ๆ สูดลมหายใจเข้าลึก ๆ อย่างช้า ๆ แล้วค่อย ๆ ปล่อยลมหายใจออกอย่างช้า ๆ ทำติดต่อกันเรื่อยไป จนกระทั่งเรารู้สึกว่าจิตของเราเริ่มเบา สบาย จิตมีความสงบ

4.เมื่อท่านปฏิบัติในข้อ 3 จนกระทั่งจิตสงบ นิ่งแล้ว ท่านก็จะเกิดความรู้สึกว่าง ไม่มีอะไรเลย นั่นแหล่ะภาวะจิตของเราได้หยุดพักเพื่อเติมพลัง

5.เมื่อจิตได้เติมพลังแล้ว เมื่อเราออกจากสมาธิจะรู้สึกว่าจิตใจสดชื่น กระปรี้กระเป่า นั่นคือ จิตของเราเริ่มมีพลัง พร้อมที่จะเผชิญสิ่งต่าง ๆ ต่อไปได้

ท่านทั้งหลายลองคิดดูว่า วันหนึ่งมี 24 ชม. เราขอเวลาเพียง 10-15 นาที เพื่อบริหารจิตให้กับตนเองจะได้ไหม? และทุกวันนี้ เรามีชีวิตอยู่ได้ด้วยจิตของเราใช่หรือไม่?

ถ้าหากท่านยังปราถนาที่จะมีชีวิตที่ยืนยาวอยู่ในโลกนี้ ท่านรู้คำตอบแล้วว่า สิ่งที่ช่วยให้คนเรามีความสุขและมีอายุยืนยาวอยู่ได้ ด้วยการมา “บริหารจิตกันเถอะ” สักวันท่านจะพบกับสิ่งที่พึงพอใจ ความอยากมี อยากได้ ด้วยของท่านเอง


อ้างอิงyantip.com

วันพฤหัสบดีที่ 1 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

การมีเพศสัมพันธ์ขณะตั้งครรภ์


เชื่อได้เลยว่า “มีเซ็กซ์ขณะตั้งครรภ์?” คงเป็นประเด็นคำถามที่อยู่ในใจใครหลายคน แต่อายที่จะถามคุณหมอในเรื่องนี้ เพราะกลัวถูกมองในแง่ลบ แต่ในความจริงแล้ว การมี “เพศสัมพันธ์” หรือการมีเซ็กซ์นั้นเป็นเรื่องปกติของคู่ชายหญิงอยู่แล้ว เช่นเดียวกันกับสามีที่มีภรรยาอยู่ในช่วงตั้งครรภ์ก็สามารถเสพสมอารมณ์รักกันได้ เพียงแค่ให้รู้หลักและใช้ท่าที่เหมาะสมในการร่วมเพศก็ปลอดภัยได้เช่นกันครับ

วันนี้จึงถือโอกาสพาท่านผู้อ่าน และกลุ่มเป้าหมายที่เกี่ยวข้องไปพูดคุยกับ “นพ.วรชัย ชื่นชมพูนุท” สูตินรีแพทย์ ศูนย์สุขภาพสตรี โรงพยาบาลบีเอ็นเอช (BNH) ถึงการมีเพศสัมพันธ์ระหว่างตั้งครรภ์ และท่วงท่าที่ใช้ในการร่วมเพศ ว่าท่าไหนเหมาะสม หรือไม่เหมาะสม เพื่อไขข้อสงสัยให้กับคู่สามีภรรยาบางคู่ที่ยังวิตกกังวลกับเรื่องนี้ ให้เกิดความเข้าใจ สามารถนำไปใช้ได้อย่างถูกต้อง ปลอดภัย และไม่เป็นอันตรายต่อลูกในท้อง

ประเด็นคำถามนี้ “นพ.วรชัย” บอกว่า สมัยก่อนการมีเพศสัมพันธ์ขณะตั้งครรภ์เป็นเรื่องที่หลายคู่กลัวกันมาก แต่หลังจากที่มีการวิจัยมาพอสมควรในเรื่องการมีเพศสัมพันธ์ขณะตั้งครรภ์ ว่าไม่เป็นอันตรายอย่างที่คิด สามารถสร้างสุขและความผูกพันที่ดีระหว่างกันได้ จึงเริ่มมีหลายคู่เริ่มเข้าใจกันมากขึ้น เพราะถ้าไม่มีเซ็กซ์ ความสัมพันธ์ในช่วงดังกล่าวอาจจะลดลง กลายเป็นเหตุให้ผู้ชายหนีไปมีคนอื่นได้ แต่ไม่ใช่จะทุกคนที่จะเป็นแบบนี้เสมอไป

อย่างไรก็ดี ถ้าคุณแม่เคยมีประวัติการแท้ง หรือเลือดออกง่าย คุณหมอแนะนำว่า ในช่วง 3 เดือนแรก และก่อนคลอด 1 เดือน ควรงดการมีเพศสัมพันธ์ เนื่องจาก 3 เดือนแรกเป็นช่วงที่มีการแท้งสูงสุด ซึ่งการแท้งไม่ได้เกิดจากการมีเพศสัมพันธ์ แต่จะทำให้มีเลือดออกได้ง่าย ส่วนก่อนคลอด 1 เดือน ถ้ามีเพศสัมพันธ์ในช่วงนี้จะกระตุ้นให้เกิดน้ำเดิน หรือเจ็บการคลอดก่อนกำหนด และทำให้จุกได้ เมื่อผ่านช่วงดังกล่าวไปแล้ว ภายในเดือนที่ 4 ถึงเดือนที่ 8 ก็เป็นระยะปลอดภัย สามารถมีเพศสัมพันธ์ได้ตามปกติ แต่ควรดูความเหมาะสม และความพร้อมทางร่างกายของภรรยาด้วย

“การมีเพศสัมพันธ์ทุกครั้ง ถึงแม้จะเชื่อใจกันก็ตาม ควรใช้ถุงยางอนามัย เพราะเราไม่รู้ว่าระหว่างมีเซ็กซ์จะมีการติดเชื้อทางช่องคลอดหรือเปล่า ซึ่งบางชนิดสามารถส่งตรงถึงลูก และตัวคุณแม่ได้ นอกจากนี้ ควรใช้วิธีการร่วมเพศที่ละมุนละม่อม ใช้ท่าที่เหมาะสม เช่น ผู้หญิงอยู่ด้านข้าง (ตะแคงข้าง) เพราะเป็นท่าที่ผู้หญิงจะสบายที่สุด นอกจากนี้ ช่วงตั้งครรภ์ช่องคลอดจะมีการเปลี่ยนแปลง บางคนอาจมีช่องคลอดแห้ง ดังนั้น สารหล่อลื่นจะช่วยให้การร่วมเพศสะดวก และลื่นสบายขึ้น” คุณหมอเผยเทคนิค



ภาพประกอบจากอินเทอร์เน็ต


นอกจากนี้ คุณหมอแนะนำต่อว่า คุณสามีไม่ควรใช่ท่าที่ผู้ชายนอนทับผู้หญิง หรือท่าที่ยกแข้ง ยกขา ซึ่งลักษณะนี้จะทำให้ผู้หญิงรู้สึกไม่สะดวก และอึดอัดขณะร่วมเพศ ทางที่ดีควรใช้ท่าที่ทำให้ผู้หญิงรู้สึกสบายจะดีกว่า รวมถึงทำค่อยๆ และช้าๆ ไม่ควรบังคับผู้หญิง เพราะในช่วงตั้งครรภ์บางคนจะมีความรู้สึกทางเพศลดลง เนื่องจากจะรู้สึกไม่ดีเมื่อมีการสอดใส่อวัยวะเพศของผู้ชายเข้าไป เกิดความรู้สึกกังวล และกลัวอันตรายที่จะเกิดขึ้นต่อลูกในท้อง ดังนั้นจึงต้องคุยหรือตกลงกันให้ชัดเจนก่อน

สำหรับท่วงท่าที่เหมาะสมและปลอดภัยในการร่วมเพศขณะตั้งครรภ์นั้น ยังมีให้เลือกใช้อีกหลายท่า อาทิ ท่าสามีนอนหงาย ส่วนภรรยาขึ้นคร่อม หรือภรรยาคุกเข่า ก้มตัวนอนคว่ำให้ส่วนท้อง และหน้าอกวางบนที่นอน (ท่าก้งโค้ง) โดยที่สามีคุกเข่าทางด้านหลัง ซึ่งท่าดังกล่าว รวมถึงท่าอื่นๆ ถ้าไม่กดทับท้องของภรรยา ก็เป็นท่าที่ใช้ได้โดยไม่มีอันตรายแต่อย่างใด

นอกจากนี้ คุณหมอบอกว่า การมีเพศสัมพันธ์ไม่จำเป็นต้องมีทางช่องคลอดเสมอไป สามารถมีได้ทางทวาร (ด้านหลัง) ใช้ปาก (Oral Sex) หรือสำเร็จความใคร่ด้วยตัวเอง (Masturbation) ก็ได้ โดยวิธีหลังนี้จะช่วยลดความต้องการ และป้องกันการติดเชื้อได้เป็นอย่างดี อย่างไรก็ตาม ต้องขึ้นอยู่กับความพึงพอใจของแต่ละคู่ด้วย ที่ต้องคุย และตกลงกันให้ดีก่อน เพราะการร่วมเพศสัมพันธ์ เป็นเรื่องที่ละเอียดอ่อน แตกต่างกันไปในแต่ละคน

สุดท้ายคุณหมอฝากไว้ว่า การจะมีเพศสัมพันธ์ให้ปลอดภัยต่อตัวแม่ และลูกในครรภ์นั้น ดีที่สุดต้องควรปรึกษาคุณหมอก่อน เพราะบางคนอาจมีภาวะของรกเกาะต่ำ ทำให้ขณะร่วมเพศสัมพันธ์กันนั้น อาจมีเลือดออกได้ง่าย หรือถ้ารุนแรงจนมีเลือดออกมาก อาจจะต้องเอาเด็กออกทันที

ดังนั้น ควรตรวจร่างกายให้พร้อม ถ้าตรวจแล้วร่างกายไม่มีปัญหาอะไร หรือไม่มีเงื่อนไขให้ต้องระวังอะไรก็สามารถมีเพศสัมพันธ์อย่างมีความสุขได้ตามปกติ แต่ทั้งนี้ต้องใส่ถุงยางอนามัย ใช้สารหล่อลื่น และเป็นไปอย่างละมุนละม่อม ไม่เร็ว หรือแรงจนเกินไป นั่นจะทำให้คุณ และสามีมีความสุขตลอดการร่วมเพศอย่างปลอดภัยครับ

* อ๋อทิ้งท้ายกับ Life and Family *

* ไขข้อสงสัย - สามีแพ้ท้องแทนภรรยาได้จริงหรือ *

กับเรื่องนี้ “นพ.วรชัย ชื่นชมพูนุท” สูตินรีแพทย์ ศูนย์สุขภาพสตรี โรงพยาบาลบีเอ็นเอช (BNH) บอกว่า เรื่องนี้เกิดขึ้นได้จริง แต่จะเกิดกับผู้ชายบางคนเท่านั้น ซึ่งจะเป็นในลักษณะทางจิตวิทยา และความคิดของคุณสามี ที่เมื่อเห็นภรรยาตั้งครรภ์แล้ว สามารถรับรู้ถึงความรู้สึกตรงนั้นได้ ทำให้เกิดอาการแพ้ท้องแทนภรรยา แต่ทั้งนี้ไม่สามารถอธิบายได้ทางวิทยาศาสตร์ เป็นเพียงความคิด ความรู้สึกทางจิตของสามีเท่านั้น ซึ่งไม่ใช่เรื่องผิดปกติ ขอให้พักผ่อน และรับประทานยาแก้แพ้ตามหมอสั่งก็จะหายเป็นปกติ




ข้อมูลจาก ผู้จัดการออนไลน์ Life & Family

วันอาทิตย์ที่ 30 พฤษภาคม พ.ศ. 2553

ข้อมูลมหาลัยบูรพา


มหาวิทยาลัยบูรพามีนโยบายสำคัญในการคัดเลือกผู้เข้าศึกษาคือ มุ่งคัดเลือกคนเก่ง คนดี มีความสามารถสูง มุ่งกระจายโอกาสสู่ภาคตะวันออก และมุ่งความเสมอภาคเท่าเทียมกันในโอกาศเข้าการศึกษาด้วยนโยบายสำคัญดังกล่าวข้างต้นทำให้มีวิธีการคัดเลือกเข้าศึกษา ในระดับปริญญาตรี ภาคปกติ ในรูปแบบที่หลากหลาย และ มีสาระสำคัญในแต่ละวิธีสรุปดังนี้



โครงการรับตรงในภาคตะวันออก จำนวนที่รับประมาณ ร้อยละ 50 ของจำนวนที่รับเข้าศึกษาทั้งหมด

โครงการรับตรงทั่วประเทศ จำนวนรับประมาณร้อยละ 15 ของจำนวนที่จะรับเข้าศึกษาทั้งหมด

โครงการ Admissions จำนวนรับประมาณร้อยละ 30 ของจำนวนที่จะรับเข้าศึกษาทั้งหมด

โครงการพิเศษ จำนวนรับประมาณร้อยละ 5 ของจำนวนที่จะรับทั้งหมด

สำหรับภาคพิเศษ มหาวิทยาลัยบูรพา เปิดรับบุคคลเข้าศึกษาทั้งหลักสูตรต่อเนื่อง แหละหลักสูตร 4 ปีสำหรับผู้ที่มีผลการเรียนดี และหากมีจำนวนที่สามารถรับได้ในภาคปกติ จะได้รับการพิจรณาจากคณะกรรมการประจำคณะ หรือ วิทยาลัยในการเปลี่ยนแปลงสถานภาพเป็นนิสิตภาคปกติตามความเหมาะสม

วันอังคารที่ 2 มีนาคม พ.ศ. 2553