วันจันทร์ที่ 16 สิงหาคม พ.ศ. 2553

การบริหารจิต


การบริหารจิตหมายถึง การออกกำลังกายทางจิต ด้วยการทำจิตใจให้ผ่องใส มีจิตที่สะอาด บริสุทธิ์ บนพื้นฐานของการรักษาศีล การทำสมาธิ และการเจริญภาวนา สิ่งเหล่านี้ถ้าหากท่านทั้งหลาย สามารถบริหารจิตตนเองได้อย่างสม่ำเสมอ ท่านก็จะเป็นผู้มีพลังจิตที่แข็งแกร่ง และสามารถนำพลังจิตที่มีอยู่ในตัวของท่านมาใช้ประโยชน์ เพื่อความสุขในการดำเนินชีวิตได้อย่างราบรื่นไม่มีปัญหาอุปสรรคใด ๆ แต่ถ้าหากพลังจิตของเราได้สูญเสียไป ก็ย่อมมีผลต่อจิตใจของเราด้วย คือ จิตใจเริ่มอ่อนแอ ท้อถอย ไม่สู้

ดังนั้นในวันหนึ่ง ๆ เราต้องสูญเสียพลังจิตของเราไปโดยไม่รู้ตัวและบางครั้งก็รู้ตัว สำหรับในส่วนที่เราไม่รู้ตัวนั่นซิแย่ จะทำให้จิตใจของเราไม่เป็นสุข ความทุกข์ก็จะเข้ามาแทนที่ และต่อมาก็บั่นทอนร่างกายของเราให้ป่วยกายขึ้น เนื่องจากจิตใจไม่มีพลังแต่ถ้าหากเรารู้ตัวว่า วันนี้เราได้สูญเสียพลังจิตไปในด้านใดบ้างนั้นเราพอที่จะมีวิธีการเติมพลัง ให้กับจิตของตนเองได้ หรือทำภาวะจิตของเราให้มีกำลังเพิ่มขึ้นเหมือนปกติเช่นเดียวกับที่เราได้ออกกำลังกายแล้วเรารู้สึกว่าร่างกายสดชื่น ฉันใดก็ฉันนั้น จิตจของเราก็ต้องการออกกำลังกายเช่นเดียวกัน แต่เมื่อใดที่จิตได้ออกกำลังกาย จิตก็จะสดชื่นไปด้วย ไม่เหมือนกับที่เราออกกำลังกายแล้วทำให้ร่างกายสดชื่นก็จริง แต่บางครั้งจิตใจเราก็หดหู่ไม่สดชื่นเท่าที่ควร

ท่านทั้งหลายที่เคยออกกำลังกายมาสม่ำเสมอ ลองหันมาออกกำลังกายให้จิตของเราดูบ้าง ท่านจะได้รับผลอีกหลายเท่าตัว วิธีการออกกำลังกายทางจิตก็คือ การเติมพลังให้กับจิตนั่นเอง ลองปฏิบัติได้ดังนี้

เมื่อใดที่ท่านเกิดความรู้สึกว่า ร่างกายอ่อนเพลีย เหนื่อยล้าทางสมองหรือง่วงนอน ให้ท่านกำหนดสติโดยใช้ลมหายใจเข้า-ออก จะอยู่ในลักษณะการยืน การนั่ง หรือการนอนก็แล้วแต่ สภาวะเอื้ออำนวยโดยใช้เวลาเพียง 10 – 15 นาที จิตของท่านจะรู้สึกตื่นเบิกบาน และแช่มชื่นขึ้นกว่าปกติ ความรู้สึกที่เหนื่อยอ่อนเหนื่อยล้าก็จะหายไป และท่านก็สามารถที่จะปฏิบัติงาน หรือกระทำการอื่น ๆ ต่อไปได้ หรือเรียกสั้น ๆ จากวิธีดังกล่าวนี้ว่า คือ การกำหนดสมาธินั่นเอง ซึ่งวิธีการทำสมาธินั้นสามารถทำได้หลายวิธี เช่น นั่งสมาธิ นอนสมาธิหรือยืนสมาธิ โดยมีขั้นตอนของการทำสมาธิดังนี้ คือ
1.ก่อนเริ่มการปฏิบัติ ทำจิตใจให้สะอาด บริสุทธิ์ จิตใจตั้งมั่น ปล่อยวางสิ่งที่ค้างอยู่ในจิตใจชั่วขณะหนึ่งของการที่จะเริ่มเข้าสู่การปฏิบัติ

2.กำหนดท่านั่ง หรือนอน หรือยืน ในท่าที่สบาย ๆ เป็นธรรมชาติสำหรับตนเอง ไม่เกร็งกล้ามเนื้อของทุก ๆ ส่วนในร่างกาย ปล่อยร่างกายให้เป็นไปตามธรรมชาติ

3.ค่อย ๆ สูดลมหายใจเข้าลึก ๆ อย่างช้า ๆ แล้วค่อย ๆ ปล่อยลมหายใจออกอย่างช้า ๆ ทำติดต่อกันเรื่อยไป จนกระทั่งเรารู้สึกว่าจิตของเราเริ่มเบา สบาย จิตมีความสงบ

4.เมื่อท่านปฏิบัติในข้อ 3 จนกระทั่งจิตสงบ นิ่งแล้ว ท่านก็จะเกิดความรู้สึกว่าง ไม่มีอะไรเลย นั่นแหล่ะภาวะจิตของเราได้หยุดพักเพื่อเติมพลัง

5.เมื่อจิตได้เติมพลังแล้ว เมื่อเราออกจากสมาธิจะรู้สึกว่าจิตใจสดชื่น กระปรี้กระเป่า นั่นคือ จิตของเราเริ่มมีพลัง พร้อมที่จะเผชิญสิ่งต่าง ๆ ต่อไปได้

ท่านทั้งหลายลองคิดดูว่า วันหนึ่งมี 24 ชม. เราขอเวลาเพียง 10-15 นาที เพื่อบริหารจิตให้กับตนเองจะได้ไหม? และทุกวันนี้ เรามีชีวิตอยู่ได้ด้วยจิตของเราใช่หรือไม่?

ถ้าหากท่านยังปราถนาที่จะมีชีวิตที่ยืนยาวอยู่ในโลกนี้ ท่านรู้คำตอบแล้วว่า สิ่งที่ช่วยให้คนเรามีความสุขและมีอายุยืนยาวอยู่ได้ ด้วยการมา “บริหารจิตกันเถอะ” สักวันท่านจะพบกับสิ่งที่พึงพอใจ ความอยากมี อยากได้ ด้วยของท่านเอง


อ้างอิงyantip.com

วันพฤหัสบดีที่ 1 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

การมีเพศสัมพันธ์ขณะตั้งครรภ์


เชื่อได้เลยว่า “มีเซ็กซ์ขณะตั้งครรภ์?” คงเป็นประเด็นคำถามที่อยู่ในใจใครหลายคน แต่อายที่จะถามคุณหมอในเรื่องนี้ เพราะกลัวถูกมองในแง่ลบ แต่ในความจริงแล้ว การมี “เพศสัมพันธ์” หรือการมีเซ็กซ์นั้นเป็นเรื่องปกติของคู่ชายหญิงอยู่แล้ว เช่นเดียวกันกับสามีที่มีภรรยาอยู่ในช่วงตั้งครรภ์ก็สามารถเสพสมอารมณ์รักกันได้ เพียงแค่ให้รู้หลักและใช้ท่าที่เหมาะสมในการร่วมเพศก็ปลอดภัยได้เช่นกันครับ

วันนี้จึงถือโอกาสพาท่านผู้อ่าน และกลุ่มเป้าหมายที่เกี่ยวข้องไปพูดคุยกับ “นพ.วรชัย ชื่นชมพูนุท” สูตินรีแพทย์ ศูนย์สุขภาพสตรี โรงพยาบาลบีเอ็นเอช (BNH) ถึงการมีเพศสัมพันธ์ระหว่างตั้งครรภ์ และท่วงท่าที่ใช้ในการร่วมเพศ ว่าท่าไหนเหมาะสม หรือไม่เหมาะสม เพื่อไขข้อสงสัยให้กับคู่สามีภรรยาบางคู่ที่ยังวิตกกังวลกับเรื่องนี้ ให้เกิดความเข้าใจ สามารถนำไปใช้ได้อย่างถูกต้อง ปลอดภัย และไม่เป็นอันตรายต่อลูกในท้อง

ประเด็นคำถามนี้ “นพ.วรชัย” บอกว่า สมัยก่อนการมีเพศสัมพันธ์ขณะตั้งครรภ์เป็นเรื่องที่หลายคู่กลัวกันมาก แต่หลังจากที่มีการวิจัยมาพอสมควรในเรื่องการมีเพศสัมพันธ์ขณะตั้งครรภ์ ว่าไม่เป็นอันตรายอย่างที่คิด สามารถสร้างสุขและความผูกพันที่ดีระหว่างกันได้ จึงเริ่มมีหลายคู่เริ่มเข้าใจกันมากขึ้น เพราะถ้าไม่มีเซ็กซ์ ความสัมพันธ์ในช่วงดังกล่าวอาจจะลดลง กลายเป็นเหตุให้ผู้ชายหนีไปมีคนอื่นได้ แต่ไม่ใช่จะทุกคนที่จะเป็นแบบนี้เสมอไป

อย่างไรก็ดี ถ้าคุณแม่เคยมีประวัติการแท้ง หรือเลือดออกง่าย คุณหมอแนะนำว่า ในช่วง 3 เดือนแรก และก่อนคลอด 1 เดือน ควรงดการมีเพศสัมพันธ์ เนื่องจาก 3 เดือนแรกเป็นช่วงที่มีการแท้งสูงสุด ซึ่งการแท้งไม่ได้เกิดจากการมีเพศสัมพันธ์ แต่จะทำให้มีเลือดออกได้ง่าย ส่วนก่อนคลอด 1 เดือน ถ้ามีเพศสัมพันธ์ในช่วงนี้จะกระตุ้นให้เกิดน้ำเดิน หรือเจ็บการคลอดก่อนกำหนด และทำให้จุกได้ เมื่อผ่านช่วงดังกล่าวไปแล้ว ภายในเดือนที่ 4 ถึงเดือนที่ 8 ก็เป็นระยะปลอดภัย สามารถมีเพศสัมพันธ์ได้ตามปกติ แต่ควรดูความเหมาะสม และความพร้อมทางร่างกายของภรรยาด้วย

“การมีเพศสัมพันธ์ทุกครั้ง ถึงแม้จะเชื่อใจกันก็ตาม ควรใช้ถุงยางอนามัย เพราะเราไม่รู้ว่าระหว่างมีเซ็กซ์จะมีการติดเชื้อทางช่องคลอดหรือเปล่า ซึ่งบางชนิดสามารถส่งตรงถึงลูก และตัวคุณแม่ได้ นอกจากนี้ ควรใช้วิธีการร่วมเพศที่ละมุนละม่อม ใช้ท่าที่เหมาะสม เช่น ผู้หญิงอยู่ด้านข้าง (ตะแคงข้าง) เพราะเป็นท่าที่ผู้หญิงจะสบายที่สุด นอกจากนี้ ช่วงตั้งครรภ์ช่องคลอดจะมีการเปลี่ยนแปลง บางคนอาจมีช่องคลอดแห้ง ดังนั้น สารหล่อลื่นจะช่วยให้การร่วมเพศสะดวก และลื่นสบายขึ้น” คุณหมอเผยเทคนิค



ภาพประกอบจากอินเทอร์เน็ต


นอกจากนี้ คุณหมอแนะนำต่อว่า คุณสามีไม่ควรใช่ท่าที่ผู้ชายนอนทับผู้หญิง หรือท่าที่ยกแข้ง ยกขา ซึ่งลักษณะนี้จะทำให้ผู้หญิงรู้สึกไม่สะดวก และอึดอัดขณะร่วมเพศ ทางที่ดีควรใช้ท่าที่ทำให้ผู้หญิงรู้สึกสบายจะดีกว่า รวมถึงทำค่อยๆ และช้าๆ ไม่ควรบังคับผู้หญิง เพราะในช่วงตั้งครรภ์บางคนจะมีความรู้สึกทางเพศลดลง เนื่องจากจะรู้สึกไม่ดีเมื่อมีการสอดใส่อวัยวะเพศของผู้ชายเข้าไป เกิดความรู้สึกกังวล และกลัวอันตรายที่จะเกิดขึ้นต่อลูกในท้อง ดังนั้นจึงต้องคุยหรือตกลงกันให้ชัดเจนก่อน

สำหรับท่วงท่าที่เหมาะสมและปลอดภัยในการร่วมเพศขณะตั้งครรภ์นั้น ยังมีให้เลือกใช้อีกหลายท่า อาทิ ท่าสามีนอนหงาย ส่วนภรรยาขึ้นคร่อม หรือภรรยาคุกเข่า ก้มตัวนอนคว่ำให้ส่วนท้อง และหน้าอกวางบนที่นอน (ท่าก้งโค้ง) โดยที่สามีคุกเข่าทางด้านหลัง ซึ่งท่าดังกล่าว รวมถึงท่าอื่นๆ ถ้าไม่กดทับท้องของภรรยา ก็เป็นท่าที่ใช้ได้โดยไม่มีอันตรายแต่อย่างใด

นอกจากนี้ คุณหมอบอกว่า การมีเพศสัมพันธ์ไม่จำเป็นต้องมีทางช่องคลอดเสมอไป สามารถมีได้ทางทวาร (ด้านหลัง) ใช้ปาก (Oral Sex) หรือสำเร็จความใคร่ด้วยตัวเอง (Masturbation) ก็ได้ โดยวิธีหลังนี้จะช่วยลดความต้องการ และป้องกันการติดเชื้อได้เป็นอย่างดี อย่างไรก็ตาม ต้องขึ้นอยู่กับความพึงพอใจของแต่ละคู่ด้วย ที่ต้องคุย และตกลงกันให้ดีก่อน เพราะการร่วมเพศสัมพันธ์ เป็นเรื่องที่ละเอียดอ่อน แตกต่างกันไปในแต่ละคน

สุดท้ายคุณหมอฝากไว้ว่า การจะมีเพศสัมพันธ์ให้ปลอดภัยต่อตัวแม่ และลูกในครรภ์นั้น ดีที่สุดต้องควรปรึกษาคุณหมอก่อน เพราะบางคนอาจมีภาวะของรกเกาะต่ำ ทำให้ขณะร่วมเพศสัมพันธ์กันนั้น อาจมีเลือดออกได้ง่าย หรือถ้ารุนแรงจนมีเลือดออกมาก อาจจะต้องเอาเด็กออกทันที

ดังนั้น ควรตรวจร่างกายให้พร้อม ถ้าตรวจแล้วร่างกายไม่มีปัญหาอะไร หรือไม่มีเงื่อนไขให้ต้องระวังอะไรก็สามารถมีเพศสัมพันธ์อย่างมีความสุขได้ตามปกติ แต่ทั้งนี้ต้องใส่ถุงยางอนามัย ใช้สารหล่อลื่น และเป็นไปอย่างละมุนละม่อม ไม่เร็ว หรือแรงจนเกินไป นั่นจะทำให้คุณ และสามีมีความสุขตลอดการร่วมเพศอย่างปลอดภัยครับ

* อ๋อทิ้งท้ายกับ Life and Family *

* ไขข้อสงสัย - สามีแพ้ท้องแทนภรรยาได้จริงหรือ *

กับเรื่องนี้ “นพ.วรชัย ชื่นชมพูนุท” สูตินรีแพทย์ ศูนย์สุขภาพสตรี โรงพยาบาลบีเอ็นเอช (BNH) บอกว่า เรื่องนี้เกิดขึ้นได้จริง แต่จะเกิดกับผู้ชายบางคนเท่านั้น ซึ่งจะเป็นในลักษณะทางจิตวิทยา และความคิดของคุณสามี ที่เมื่อเห็นภรรยาตั้งครรภ์แล้ว สามารถรับรู้ถึงความรู้สึกตรงนั้นได้ ทำให้เกิดอาการแพ้ท้องแทนภรรยา แต่ทั้งนี้ไม่สามารถอธิบายได้ทางวิทยาศาสตร์ เป็นเพียงความคิด ความรู้สึกทางจิตของสามีเท่านั้น ซึ่งไม่ใช่เรื่องผิดปกติ ขอให้พักผ่อน และรับประทานยาแก้แพ้ตามหมอสั่งก็จะหายเป็นปกติ




ข้อมูลจาก ผู้จัดการออนไลน์ Life & Family

วันอาทิตย์ที่ 30 พฤษภาคม พ.ศ. 2553

ข้อมูลมหาลัยบูรพา


มหาวิทยาลัยบูรพามีนโยบายสำคัญในการคัดเลือกผู้เข้าศึกษาคือ มุ่งคัดเลือกคนเก่ง คนดี มีความสามารถสูง มุ่งกระจายโอกาสสู่ภาคตะวันออก และมุ่งความเสมอภาคเท่าเทียมกันในโอกาศเข้าการศึกษาด้วยนโยบายสำคัญดังกล่าวข้างต้นทำให้มีวิธีการคัดเลือกเข้าศึกษา ในระดับปริญญาตรี ภาคปกติ ในรูปแบบที่หลากหลาย และ มีสาระสำคัญในแต่ละวิธีสรุปดังนี้



โครงการรับตรงในภาคตะวันออก จำนวนที่รับประมาณ ร้อยละ 50 ของจำนวนที่รับเข้าศึกษาทั้งหมด

โครงการรับตรงทั่วประเทศ จำนวนรับประมาณร้อยละ 15 ของจำนวนที่จะรับเข้าศึกษาทั้งหมด

โครงการ Admissions จำนวนรับประมาณร้อยละ 30 ของจำนวนที่จะรับเข้าศึกษาทั้งหมด

โครงการพิเศษ จำนวนรับประมาณร้อยละ 5 ของจำนวนที่จะรับทั้งหมด

สำหรับภาคพิเศษ มหาวิทยาลัยบูรพา เปิดรับบุคคลเข้าศึกษาทั้งหลักสูตรต่อเนื่อง แหละหลักสูตร 4 ปีสำหรับผู้ที่มีผลการเรียนดี และหากมีจำนวนที่สามารถรับได้ในภาคปกติ จะได้รับการพิจรณาจากคณะกรรมการประจำคณะ หรือ วิทยาลัยในการเปลี่ยนแปลงสถานภาพเป็นนิสิตภาคปกติตามความเหมาะสม

วันพฤหัสบดีที่ 25 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553

เซ็กส์หลังคลอด


เกิดมาเป็นผู้หญิงก็ต้องมีบทบาทหน้าที่ตั้งหลายอย่าง พอแต่งงานแล้วก็ต้องเป็นภรรยาสุดที่รัก ตอนท้องก็จะเริ่มงง ๆ งานการในหน้าที่ของเมียที่ดีก็จะน้อยลง เนื่องจากสังขารไม่ให้ พอคลอดลูกออกมาแล้วคราวนี้ยิ่งไปกันใหญ่ เพราะความเป็นแม่นั้นมันยิ่งใหญ่นัก ธรรมชาติสร้างให้ผู้หญิงเราเป็นแม่มากกว่าเป็นเมีย ฮอร์โมนของการให้นมของแม่ก็เลยกดฮอร์โมนเพศหญิง ความต้องการทางเพศตอนหลังคลอดก็เลยหดหายไปหมดด้วย คุณพ่อก็เลยต้องนอนก่ายหน้าผากตาปริบ ดูลูกดูดหลับคาเต้าอย่างมีความสุข...เฮ้อ อิจฉาจัง!!

เรามาศึกษาเรียนรู้ผู้หญิงกันก่อนดีกว่าว่า เธอทำต่อมความรู้สึกทางเพศหายไปไหน

สาเหตุที่ทำให้คุณผู้หญิงไม่มีความรู้สึกทางเพศหลังจากคลอดลูกไปแล้วมีมากมายหลาย เหตุผล ทั้งทางด้านร่ายกาย จิตใจ และอารมณ์ ความสับสนในบทบาทของการเป็นแม่กับการเป็นเมีย รวมทั้งความสัมพันธ์ที่เปลี่ยนไประหว่างสามี-ภรรยา

อายหุ่น

ทางด้านร่ายกายเป็นเรื่องที่เห็นชัดที่สุด หลังคลอดอะไรต่ออะไรก็เปลี่ยนไป จากหุ่นเซ็กซี่เอวคอด ก็กลายเป็นตัวกลม ๆ ตัน ๆ หุ่นเหมือนถังแก๊ส พุงก็ห้อย ท้องก็ลาย ตัวก็ใหญ่เทอะทะ ทำให้เกิดความไม่มั่นใจในตัวเอง ขนาดตัวเองยังทนดูตัวเองไม่ได้ นับประสาอะไรจะไปเปลือยกายให้สามีดู แทนที่จะมีอารมณ์ เดี๋ยวเห็นหุ่นแล้วจะตกใจหัวหดไปหมด

เริ่มต้นก็นึกถึงภาพตัวเองตอนก่อนมีลูก แล้วพยายามตั้งใจให้กลับมาเหมือนเดิมให้ได้ ต้องพยายามคุมอาหาร ออกกำลังกายให้หุ่นกลับมาเหมือนเดิม ท้องจะลายไปหน่อยก็ไม่ต้องสนใจ ปิดไฟก็ไม่เห็นแล้ว ถ้ายังไม่เหมือนเดิมก็คงต้องอาศัยความตั้งใจและความอดทน แล้วสักวันก็จะสามารถกลับมามองดูตัวเองด้วยความภูมิใจเหมือนเดิม ความมั่นใจในตัวเองที่หายไปก็จะกลับมาอีกครั้ง

แล้วก็อย่าลืม บริหารกระบังลมโดยการขมิบก้นให้เข้าที่ อย่างน้อย 30 ครั้งต่อวัน ถ้าทำทุกวันก็มักจะกลับมาฟิตปั๋งเหมือนเดิมภายใน 3 เดือน แต่ถ้าทำต่อไปเรื่อย ๆ ก็ยิ่งดีใหญ่ ถ้าเรารู้สึกว่าของเราดีแล้ว สามีติดใจ เราก็จะได้ภูมิใจที่เราสามารถกลับมามีทุกอย่างเหมือนเดิมด้วยตัวเราเอง

กลัวเจ็บ

คุณหมอจะห้ามการมีเพศสัมพันธ์ในช่วงตอนหลังคลอด 6 สัปดาห์ โดยมากแผลมันหายสนิทดีหมดแล้ว แต่อาจยังมีเม็ดปมหลงเหลือยังละลายไม่หมดอยู่บ้าง เวลามีเพศสัมพันธ์มีการเสียดสีก็อาจทำให้รู้สึกเจ็บตรงรอยฝีเย็บได้ คุณผู้หญิงก็กลัวว่าแผลมันจะอักเสบ เลยพยายามหลีกเลี่ยงการมีเพศสัมพันธ์ แล้วก็เลยพานไม่อยากจะมีอีกเลยก็ได้

หลังคลอดโครงสร้างภายในที่ยึดโยงมดลูกภายในท้องน้อยก็ยืดหย่อนยานกว่าตอนที่ยัง ไม่มีลูก เวลามีเพศสัมพันธ์ มดลูกก็อาจโยกเยกคลอนแคลนได้ง่าย ทำให้จุกเสียดในท้องน้อยได้ง่าย ยิ่งในรายที่คลอดโดยการผ่าตัดคลอดก็อาจมีอาการเจ็บภายในท้องน้อยได้มากกว่า นิดหน่อย เพราะมีการผ่าตัด มีการเย็บมากกว่าแบบคลอดเอง กว่าจะกลับมาเข้าที่ไม่มีอาการเจ็บอีกเลย ก็คงต้องให้เวลากันมากกว่าปกตินิดหน่อย

มีอะไรกันครั้งแรก ๆ หลังคลอดก็คงต้องเจ็บแผลกันบ้างเป็นธรรมดา ใคร ๆ ก็เป็นกันได้ไม่ต้องไปกังวลหรอกครับ ถ้าเจ็บอยู่ก็คงต้องเปลี่ยนท่าเปลี่ยนตำแหน่งกันนิดหน่อย ท่าปกติเรานอนอยู่ข้างล่าง สามีอยู่ข้างบน เวลาทำอะไรกันมันจะถูเสียดสีตรงแผลพอดี แค่กลับหลังหัน ท่าคลานสี่ขาก็ไม่โดนแผลแล้ว ง่ายจะตายไป หรือทำท่าไหนก็ไม่ถูกใจ ก็ทำเองซะหมดเรื่องหมดราว ซึ่งคุณแม่ก็จะสามารถกำหนดแรง กำหนดมุมได้ด้วยตัวเอง ก็จะเจ็บน้อยลง แต่ถ้ายังไงมันก็ไม่มั่นใจก็โทรไปปรึกษาคุณหมอที่ทำคลอดก็ได้ เลย 3 เดือนไปแล้วก็มักจะไม่มีอาการเจ็บหลงเหลืออยู่เลย ถ้ายังเจ็บก็คงต้องไปหาหมอตรวจซะให้เรียบร้อย

ไม่มีอารมณ์

หลังคลอดคุณแม่หลายคนก็ต้องมาเหน็ดเหนื่อยกับการเลี้ยงลูก มองไปข้าง ๆ เห็นแล้วโมโห ก็คุณสามีตัวดีเอาแต่นอน ไม่เคยมาช่วยเลี้ยงลูกเลยแม้แต่สักนิด เป็นอย่างนี้ทุกวันก็ยิ่งทำให้ภรรยารู้สึกน้อยอกน้อยใจว่า ทีอยากจะมีเพศสัมพันธ์ก็ยังทำได้ไม่รู้จักเหน็ดรู้จักเหนื่อย แต่พอมีลูกออกมาแล้วไม่เห็นจะช่วยเลี้ยงเลย ความรู้สึกอย่างนี้แหละที่เป็นตัวอันตรายที่ทำให้การเลี้ยงลูกมาถ่างความสัมพันธ์ระหว่างกันออกไป ...เห็นหน้าก็แอบโกรธอยู่ในใจแล้ว ไม่ต้องมาสะกิดกันให้ยาก ความรู้สึกทางเพศมันก็เลยหดหายเหือดแห้งไปหมดด้วย

ต้องเข้าใจว่า เพศสัมพันธ์นั้นเป็นส่วนสำคัญส่วนหนึ่งของชีวิตครอบครัวที่จะช่วยชูรสชูรัก ให้มีความสัมพันธ์ต่อกันแน่นแฟ้น เป็นการแสดงความรักต่อกันได้แม้ไม่ได้พูดอะไรกันเลยสักคำ ลองหลับตาแล้วนึกถึงตอนนั้นดูสิ มันบอกอะไรได้มากมาย จะมาคิดว่าไม่มีอารมณ์ก็ไม่ต้องมีอะไรกันมันก็ไม่ดี เดี๋ยวคุณสามีเขาแอบไปมีอะไรที่อื่นนอกบ้าน ถึงตอนนั้นมันก็สายเกินไปเสียแล้ว เรื่องนี้จะเริ่มที่ใครไม่ได้นอกจากจะเริ่มที่ตัวเราเองก่อน ...ไม่ยากหรอกครับถ้ามีความตั้งใจจริง

เหนื่อยจนไม่มีแรงทำอะไร

สิ่งที่สำคัญที่สุดที่ทำให้ความรู้สึกทางเพศหายไปก็คือ ความสับสนในบทบาทของตัวเอง ก่อนหน้านี้สามีให้เป็นเมียเพียงอย่างเดียว มันก็ไม่ยาก ไม่ต้องมีใครสอนก็ทำกันได้ แต่พอมีลูกสัญชาตญาณความเป็นแม่มันมีมากกว่า บทบาทแม่เลยบดบังบทบาทเมียเสียหมด แล้วเป็นแม่ก็ไม่ใช่เป็นกันได้ง่าย ๆ เลี้ยงลูกอ่อนเป็นงานที่แสนเหน็ดเหนื่อย บางทีไม่ได้นอนทั้งคืนก็มี ความเหนื่อยเมื่อยล้าจากการเลี้ยงลูกก็อาจทำให้ไม่มีอารมณ์โรแมนติกใน เรื่องอย่างว่าเลย พอหัวถึงหมอนก็หลับซะแล้ว เอาอะไรมาสะกิดก็ไม่มีอารมณ์

เรื่องของบทบาทของความเป็นแม่ กับความเป็นเมียนี่แหละที่สำคัญที่สุด เพราะโดยมากพอมีลูกแล้วก็มักจะเล่นบทบาทของความเป็นแม่ซะมากกว่า จนสามีนึกว่าเราเป็นแม่ไปอีกคนเลย คุณพ่อต้องพยายามหาโอกาสแทรกเข้าไปมีบทบาทตรงกลางระหว่างแม่กับลูกเยอะ ๆ ให้คุณแม่รู้สึกว่าต้องทำหน้าที่บทบาทของความเป็นเมียบ้าง อย่าให้แม่กับลูกยุ่งกันอยู่แค่สองคน แล้วดูเหมือนพ่อเป็นคนนอก ลุยเข้าไปเลย ช่วยกันเลี้ยงเจ้าตัวน้อย ฟัดลูกบ้าง ฟัดแม่บ้าง ให้ดูมีความสัมพันธ์ที่เป็นธรรมชาติ แม้ว่าบางทีมีลูกนอนอยู่ในห้องด้วยกัน หากช่วยกันเลี้ยง พอลูกหลับก็เป็นเวลาของคุณพ่อคุณแม่สองคนแล้ว อ้อ...อย่างลืมแยกเตียงเจ้าตัวน้อยด้วยนะครับ ถ้านอนเตียงเดียวกันเป็นก้างขวางคอแล้วยิ่งทำอะไรกันลำบาก

ในรายที่ยังไม่อยากมีลูกติด ๆ กันหัวปีท้ายปี ก็ควรไปหาหมอ ปรึกษาคุมกำเนิดซะให้เรียบร้อย จะได้ไม่ต้องมาห่วงพะวงว่าจะตั้งครรภ์

เห็นมั้ยครับว่าการกลับมามีต่อมความรู้สึกทางเพศโตเท่าเดิมเป็นเรื่องที่ต้องทำ ด้วยตัวเอง ต้องอาศัยความพยายาม ความอดทนบ้าง แต่ผลที่ได้มันก็คุ้มค่านะครับ ...หากได้ผลเกินคาดอาจต้องมาหาวิธีทำให้ต่อมนี้มันยุบลงก็ได้

ขอขอบคุณข้อมูลจาก
momy perdia

รู้จักอาการ มะเร็งโคนลิ้น


หลังจากที่อดีตดารานางแบบดัง "ลินดา ค้าธัญเจริญ" ป่วยเป็นมะเร็งโคนลิ้น โดยมีเลือดไหลไม่หยุดออกมาจากช่องปาก และแม้ว่าตอนแรกญาติพาไปให้โรงพยาบาล 2 แห่งช่วยตรวจแล้ว แพทย์บอกไม่ได้เป็นอะไร แต่แล้วอาการก็กำเริบ มะเร็งลุกลามไปถึงต่อมน้ำเหลืองบริเวณลำคอ ทำให้พูดไม่ได้และมีเลือดออกที่คอตลอดเวลา อันเป็นผลสืบเนื่องมาจากการกัดลิ้นตัวเอง จนสุดท้ายญาติตัดสินใจพาไปโรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ ซึ่งหมอก็ตัดชิ้นเนื้อไปตรวจแบบละเอียด ผลออกมากลายเป็นเนื้อร้าย และเข้ารักษาการผ่าตัดแล้ว


อย่างไรก็ตามหลังจากที่หลายคนรู้เกี่ยวกับ อาการป่วยของ ลินดา แล้วนั้น ก็ทำให้หลาย ๆ คนหวั่นวิตกว่าจะเป็นมะเร็งโคนลิ้นหรือไม่ เพราะบางทีที่คอมักจะมี ตุ่ม ๆ และเป็นแผลในปาก มีอาการเจ็บคอ ไอจนนอนไม่หลับ อาการเหล่านี้จะใช่อาการเริ่มต้นของการเป็นมะเร็งโคนลิ้นหรือเปล่า? แล้วถ้าเป็นจริงๆจะสังเกตอย่างไรว่าจะเป็นมะเร็งที่โคนลิ้น หรือที่คอ เพราะหากมีตุ่ม ๆ ที่คอเวลาไปหาหมอ หมอเพียงแต่ส่องดู จับที่คอดูบอกว่าต่อมทอลซิลอักเสบ ให้ยามากินเท่านั้นเอง? อ่ะ อ่ะ ไม่ต้องซีเรียสไปค่ะ เพราะวันนี้เราจะพาไปทำความรู้จักกับ มะเร็งโคนลิ้น และวิธีป้องกันมาฝากกันค่ะ


มะเร็งโคนลิ้น หรือที่ในวงการแพทย์เรียก มะเร็งออโรฟาริ้งค์ (Oropharynx) เป็นมะเร็งที่เกิดในตำแหน่งที่เชื่อมต่อระหว่างช่องปากและช่องคอ โดยส่วนใหญ่มะเร็งโคนลิ้นมักพบในเพศชาย มากกว่าเพศหญิง และกลุ่มบุคคลที่เสี่ยงเป็นโรคนี้มักจะอายุ 50 ปีขึ้นไป
สาเหตุของการเกิด มะเร็งโคนลิ้น ยังไม่ทราบแน่ชัด แต่พบว่าปัจจัยเสี่ยงที่สำคัญทำให้เกิด มะเร็งโคนลิ้น ได้
การดื่มสุราจัด

การสูบบุหรี่จัด

ส่วนเรื่องอาหารและการติดเชื้อไวรัส ยังอยู่ในการศึกษาวิจัยว่าจะมีความสัมพันธ์กับ มะเร็งโคนลิ้น หรือไม่?

อาการของผู้ป่วยที่เป็น มะเร็งโคนลิ้น

เจ็บคอเรื้อรัง

มีแผลเรื้อรังในบริเวณเชื่อมต่อระหว่างช่องปากและช่องคอ เช่น ที่โคนลิ้น ที่ต่อมทอมซิลหรือในช่องปากข้าง ๆ ด้านในของลำคอ เป็นต้น

มีก้อนในบริเวณเชื่อมต่อระหว่างช่องปากและช่องคอ ตรงอวัยวะที่เป็นมะเร็ง เช่น มีต่อมทอนซิลโตผิดปกติ เป็นต้น และก้อนนี้จะโตขึ้นเรื่อย ๆ โตเร็ว

อาจมีเลือดปนน้ำลายหรือเสลด

กลืนอาหารแล้วรู้สึกติดคอ ไม่คล่อง เจ็บคอ

ถ้าก้อนโตมากอาจมีอาการหายใจไม่ได้ หายใจไม่ออก เพราะก้อนจะโตไปอุดทางเดินหายใจได้

ถ้าเป็นระยะลุกลาม โรคจะกระจายมาต่อมน้ำเหลืองที่คอข้างเดียวหรือ 2 ข้างก็ได้ ทำให้ต่อมน้ำเหลืองโต คลำได้

สรุปได้ว่า ผู้ป่วยมักจะมีแผลเรื้อรัง และไม่มีอาการเจ็บปวดในระยะแรก ๆ แต่ถ้าผู้ป่วยมีอาการปวดมากฉพาะที่แสดงว่า มะเร็งนั้นอาจลุกลามลึกลงไปในส่วนนั้น ๆ หรือลุกลามไปตามเส้นประสาท หรือกระดูก หากมีอาการเหล่านี้ควรให้แพทย์ตรวจให้ละเอียดจะดีกว่าค่ะ

ระยะของโรค มะเร็งโคนลิ้น นั้น แบ่งเป็น 4 ระยะ ด้วยกัน

ระยะที่ 1 ก้อน / แผล มะเร็งมีขนาดเล็ก

ระยะที่ 2 ก้อน / แผล มะเร็งมีขนาดใหญ่ขึ้น

ระยะที่ 3 โรคลุกลามเข้าอวัยวะใกล้เคียงและต่อมน้ำเหลืองที่คอโต คลำได้

ระยะที่ 4 ก้อน / แผล มะเร็งลุกลามเข้าอวัยวะใกล้เคียงมากขึ้น กระจายไปต่อมน้ำเหลืองมากขึ้น ต่อมน้ำเหลืองที่คอโตมาก และอาจโตทั้ง 2 ข่างของลำคอ หรือมีโรคแพร่กระจายไกลไปยังอวัยวะอื่น ๆ ที่อยู่ไกลออกไป เช่น กระจายไปปอดหรือกระดูก เป็นต้น

ปัจจัยที่เสริมความรุนแรงของ มะเร็งโคนลิ้น มีหลายปัจจัยที่สำคัญ ได้แก่



ระยะของโรค ยิ่งระยะสูงขึ้น โรคก็รุนแรงมากขึ้น สภาพร่างกายทั่วไปของผู้ป่วย ถ้าแข็งแรงผลการรักษาก็ดีกว่า

โรคร่วมอื่น ๆ ที่มีผลต่อสุขภาพของผู้ป่วย เช่น เบาหวาน ความดัน เป็นต้น ก็จะเป็นอุปสรรคต่อการรักษา


ผู้ป่วยสูงอายุ มักทนการรักษาแบบหายขาดไม่ได้


วิธีการรักษา มะเร็งโคนลิ้น มี 3 วิธี คือ
รังสีรักษา เป็นวิธีการรักษาหลักในการรักษามะเร็งโคนลิ้น ใช้รักษาทุก ๆ ระยะของโรค โดยทั่วไปจะเป็นการฉายรังสี ครอบคลุมทั้งส่วนเชื่อมต่อระหว่างช่องปากและช่องคอ และต่อมน้ำเหลืองที่คอ จะฉายรังสีวันละ 1 ครั้ง ติดต่อกันทุก ๆ วัน ใน 1 สัปดาห์จะฉาย 5 วันติดต่อกัน หยุดพักสัปดาห์ละ 2 วัน ซึ่งถ้าเป็นโรงพยาบาลรัฐบาลก็จะหยุดวันเสาร์-อาทิตย์และวันหยุดราชการใช้ระยะเวลารักษาทั้งหมดประมาณ 6-8 สัปดาห์ติดต่อกัน การฉายรังสีจะมีผลกระทบต่อช่องปากและฟัน ฟันจะผุเสื่อมสภาพได้ง่าย

ดังนั้นก่อนการฉายรังสี ผู้ป่วยจึงต้องได้รับการตรวจรักษาช่องปากและฟันจากทันตแพทย์ก่อน ทันตแพทย์จำเป็นต้องถอนฟันที่มีสุขภาพไม่สมบูรณ์ออกให้หมดก่อน และจะเริ่มฉายรังสีหลังจากมีการดูแลช่องปากและฟันเรียบร้อยแล้ว แต่ถ้ามีการถอนฟันก็จะต้องรอจนกว่าแผลถอนฟันจะติดดีก่อน


เคมีบำบัด มักให้ร่วมกับรังสีรักษาเสมอจะให้ในผู้ป่วยที่มีโรคลุกลามแล้ว และมีสุขภาพแข็งแรง การให้เคมีบำบัดมักให้ไปพร้อมกับการฉายรังสี แต่ถ้าระหว่างรักษาผู้ป่วยทนการรักษาได้ไม่ดี แพทย์มักจะพักการให้เคมีบำบัดไว้ก่อน แต่จะยังฉายรังสีต่อจนครบแล้วจึงจะกลับมาให้เคมีบำบัดต่อ


การผ่าตัด การผ่าตัดรักษามะเร็งโคนลิ้นมีข้อจำกัดมาก มีผู้ป่วยน้อยรายที่จะใช้การผ่าตัดเพื่อการรักษาโรคนี้


อย่างไรก็ตามภายหลังครบการรักษาแล้ว แพทย์จะยังนัดตรวจรักษาผู้ป่วยต่อเนื่องเป็นระยะ ๆ ไป โดยใน 1-2 ปีแรก หลังการรักษามักนัดตรวจทุก 1-2 เดือน ภายหลัง 3-5 ปี มักนัดตรวจทุก 2-3 เดือน แต่ถ้าภายหลัง 5 ปีไปแล้วมักนัดทุก 6-12 เดือน

ในการมาตรวจเพื่อติดตามโรคทุกครั้ง ควรนำญาติสายตรงหรือผู้ดูแลมาด้วย เพื่อจะได้ร่วมรักษา พูดคุยกับแพทย์โดยตรง และควรนำยาที่ รับประทานอยู่หรือถ้ามีการตรวจจากแพทย์ท่านอื่น ๆ ด้วย ก็ควรนำผลการตรวจนั้น ๆ มาแจ้งแพทย์ด้วย ทั้งหมดนี้ก็เพื่อให้ผู้ป่วยได้รับการดูแลรักษาอย่างเหมาะสมค่ะ

ขอขอบคุณข้อมูลจาก
- หน่วยรังสีรักษาและมะเร็งวิทยา คณะแพทย์ศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี

- ชมรมฟื้นฟูสุขภาพผู้ป่วยโรคมะเร็ง

โรคหนองใน โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ ยอดฮิต



โรคหนองใน เป็น โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ ที่พบได้บ่อยที่สุด มีระยะฟักตัวสั้น และแพร่กระจายได้อย่างรวดเร็ว วันนี้กระปุกดอทคอม จึงมีข้อมูลเกี่ยวกับ โรคหนองใน มาฝากกันค่ะ

โรคหนองใน และสาเหตุการเกิดโรค

โรคหนองใน แบ่งออกเป็น 2 ประเภท คือ โรคหนองในแท้ หรือ โกโนเรีย (Gonorrhoea) เกิดจากการติดเชื้อ Neisseria gonorrhoeae ซึ่งเป็นเชื้อแบคทีเรียที่มีรูปร่างค่อนข้างกลม อยู่กันเป็นคู่หันด้านเว้าเข้าหากัน ดูคล้ายเมล็ดกาแฟหรือเมล็ดถั่ว ย้อมสีแกรมติดสีแดง เชื้อนี้จะทำให้เกิดโรคเฉพาะเยื่อเมือก Mucous Membrance เช่น เยื่อเมือกในท่อปัสสาวะ ช่องคลอด ปากมดลูก เยื่อบุมดลูก ท่อรังไข่ ทวารหนัก เยื่อบุตา คอ เป็นต้น โดยเชื้อนี้มีระยะฟักตัวเร็ว คือประมาณ 1-10 วัน

ส่วน โรคหนองใน อีกประเภท คือ โรคหนองในเทียม (Non Gonococcal Urethritis) หรือ NSU เป็นการอักเสบของท่อปัสสาวะที่เกิดจากเชื้อโรคอื่น ๆ ที่ไม่ใช่หนองในแท้

การติดต่อ โรคหนองใน

โรคหนองใน ไม่ว่าจะ โรคหนองในแท้ หรือ โรคหนองในเทียม สามารถติดต่อกันจากการมีเพศสัมพันธ์ ไม่ว่าจะทางปาก ช่องคลอด หรือทางทวารหนัก รวมทั้งหากมีการร่วมเพศทางปาก ก็อาจทำให้ติดโรคที่ลำคอได้

นอกจากนี้ โรคหนองในเทียม ยังเกิดขึ้นได้จากสาเหตุอื่น ๆ เช่น การติดเชื้อของทางเดินปัสสาวะ , การอักเสบของต่อมลูกหมาก, ท่อปัสสาวะตีบ, การอักเสบของหนังหุ้มอวัยวะเพศ หรือการใส่สายสวนปัสสาวะ

ส่วนการจับมือ หรือนั่งฝาส้วมเดียวกัน ไม่สามารถทำให้เกิดการติดเชื้อ หนองใน ได้ เนื่องจากเชื้อโรคชนิดนี้ เมื่อออกจากร่างกายคนแล้วจะตายค่อนข้างง่าย ดังนั้นโอกาสที่จะติดต่อกันทางอื่น นอกจากทางเพศสัมพันธ์เป็นไปได้ยากกว่า

อาการของผู้ป่วย โรคหนองใน

ผู้ชาย : ในผู้ชายที่เป็น หนองใน จะมีอาการปัสสาวะขัดอย่างรุนแรง และมีหนองสีเหลืองข้น ไหลออกมาจากท่อปัสสาวะ มักเกิดอาการหลังรับเชื้อไปแล้ว 2-5 วัน ถ้าไม่รักษาอาจทำให้เกิดภาวะแทรกซ้อน เช่น ลุกลามไปยังต่อมลูกหมาก ทำให้ต่อมลูกหมากอักเสบ อัณฑะอักเสบ ฯลฯ ซึ่งทำให้เป็นหมันได้

ผู้หญิง : ในผู้หญิงที่เป็น หนองใน ส่วนใหญ่จะไม่มีอาการ จนกระทั่ง 10 วันไปแล้ว จะมีอาการตกขาว มีกลิ่นเหม็น ปัสสาวะแสบขัด เพราะเกิดการอักเสบที่ท่อปัสสาวะ และปากมดลูก ถ้าไม่รีบรักษาเชื้อโรคจะลุกลาม ทำให้เกิดภาวะแทรกซ้อน เช่น ต่อมบาร์โธลินอักเสบ เป็นฝีบวมโต การอักเสบในอุ้งเชิงกราน ปีกมดลูกอักเสบ การอุดตันของท่อรังไข่ ซึ่งทำให้เป็นหมันหรือตั้งครรภ์นอกมดลูกได้ นอกจากนี้ หากหญิงมีครรภ์เป็น โรคหนองใน เวลาคลอดอาจทำให้เด็กทารกติดเชื้อเกิดอาการตาอักเสบได้ และหากรักษาไม่ทัน จะทำให้เด็กตาบอดได้

ส่วนอาการของ หนองในเทียม จะคล้ายกับอาการผู้ป่วย หนองในแท้ แต่มีความรุนแรงน้อยกว่า และระยะฟักตัวของ โรคหนองในเทียม จะนานกว่า โรคหนองใน


การวินิจฉัย โรคหนองใน

การวินิจฉัยว่าเป็น โรคหนองใน หรือไม่นั้น แพทย์จะนำหนอง หรือปัสสาวะ มาตรวจ PCR จากนั้นจะนำมาย้อมหาเชื้อ และนำไปเพาะเชื้อ เพื่อตรวจสอบ ทั้งนี้แพทย์จะนำการตรวจหาโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ โรคอื่น ๆ ร่วมด้วย

ส่วนการวินิจฉัย โรคหนองในเทียม จะต้องอาศัยการตรวจพิเศษทางห้องปฏิบัติการมาร่วมด้วย

การรักษา โรคหนองใน

ผู้ที่เป็น โรคหนองใน มักจะเป็น โรคหนองในเทียม ด้วย ดังนั้นจึงต้องรักษาอาการไปพร้อม ๆ กัน โดยการใช้ยาปฏิชีวนะกลุ่ม Cephalosporin และ Quinolone อาจเป็นชนิดรับประทานหรือชนิดยาฉีด ยาที่นิยมใช้ในปัจจุบัน ได้แก่ Cefixime, Ceftriaxone, Ciprofloxacin, Ofloxacin, Levofloxacin เป็นต้น

ทั้งนี้ การรักษา หนองใน จะได้ผลหรือไม่ ขึ้นอยู่กับผู้ป่วย ที่จะต้องรับประทานยาให้ครบตามแพทย์สั่ง และปฏิบัติตน รวมทั้งตรวจซ้ำตามแพทย์แนะนำ และหากใครเป็น โรคหนองใน ควรพาคู่สามี และภรรยา ไปตรวจรักษาด้วย

โรคแทรกซ้อนที่สำคัญ

ในผู้ชาย อาจเกิดอาการแทรกซ้อนต่าง ๆ คือ

การอักเสบของอัณฑะ Epididymitis ซึ่งหากไม่รักษาอาจจะทำให้เป็นหมัน
ข้ออักเสบ Reiter's syndrome (arthritis)
เยื่อบุตาอักเสบ Conjunctivitis
ผื่นที่ผิวหนัง Skin lesions
หนองไหล Discharge

ส่วนผู้หญิง อาจมีอาการดังต่อไปนี้

อุ้งเชิงกรานอักเสบPelvic Inflammatory Disease (PID)อาจจะทำให้เกิดการตั้งครรภ์นอกมดลูก
ปวดท้องน้อยเรื้อรัง Recurrent PID อาจจะทำให้เป็นหมัน
ท่อปัสสาวะอักเสบ Urethritis
ช่องคลอดอักเสบ Vaginitis
แท้ง Spontaneous abortion (miscarriage)

การป้องกัน โรคหนองใน

การป้องกัน โรคหนองใน ที่ดีที่สุด คือ ควรงดการมีเพศสัมพันธ์ หากมีเพศสัมพันธ์กับคนที่ไม่แน่ใจว่า มีเชื้อหรือไม่ ให้สวมถุงยางอนามัย เพื่อป้องกันตัวเอง นอกจากนี้ ควรมีสามีหรือภรรยาเพียงคนเดียว หรือลดปัจจัยเสี่ยงในการติดต่อ โรคหนองใน และ โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ อื่นๆ

ขอขอบคุณข้อมูลจาก
- กระทรวงสาธารณสุข
- siamhealth.net
- bangkokhealth.com

ไข้สมองอักเสบ โรคร้ายต้อนรับปี 2010


ป้องกันได้แค่ใส่ใจสุขภาพ

จะเป็นอย่างไร หากของขวัญวันต้อนรับปีใหม่ ปี 2010 เป็นสารพัดโรคร้ายที่รอต้อนรับมนุษย์โลกอย่างเรา ๆ อยู่ โดยเฉพาะเจ้าโรคร้ายอย่าง "ไข้สมองอักเสบ" ที่มีการคาดการณ์กันว่า ในปี 2010 นี้จะกลับมาระบาดอีกระลอก!

เกี่ยวกับเรื่องนี้ ได้รับการเปิดเผยจาก นพ.ธีระวัฒน์ เหมะจุฑา ผู้อำนวยการศูนย์ความร่วมมือองค์การอนามัยโลกฯ ที่ออกมาบอกว่า ในปี 2553 โรคไข้สมองอักเสบจะเป็นโรคที่ต้องจับตามองอย่างใกล้ชิด เนื่องจากข้อมูลที่ผ่านมาพบว่า โรคอุบัติใหม่อุบัติซ้ำกว่าร้อยละ 50 ล้วนส่งผลให้เกิดไข้สมองอักเสบ ดังนั้น มีความเป็นไปได้ว่า อาการของโรคที่เกิดจากไวรัสจะไม่แสดงอาการเหมือนเดิม แต่จะแสดงอาการด้วยไข้สมองอักเสบแทน

"นอกจากนี้ โรคสมองอักเสบจากไวรัสชานดิปุระ ยังเป็นเชื้อไวรัสที่ต้องระวัง เนื่องจากในอดีตถือเป็นไวรัสไม่อันตราย ผู้ป่วยจะมีอาการปวดเมื่อยตามตัว แต่จะดีขึ้นภายใน 1 สัปดาห์ โดยก่อนหน้านี้เชื้อดังกล่าวติดต่อจากละอองน้ำลายของวัว ควาย หมู ม้ามาสู่คนโดยตรง แต่หลังจากมีตัวริ้นเป็นตัวกลางนำเชื้อมาสู่คนอีกทอดหนึ่ง กลับทำให้เชื้อมีความรุนแรงขึ้น อย่างล่าสุดในอินเดียเมื่อปี 2546-2549 พบผู้เสียชีวิต 232 ราย ขณะที่ประเทศอื่น ไม่มีผู้เสียชีวิต อีกทั้ง โรคไข้เลือดออก เป็นอีกโรคที่จะไม่แสดงอาการเหมือนเดิม เพราะเมื่อเร็วๆนี้ที่โรงพยาบาลจุฬาฯ พบผู้ป่วยไข้เลือดออก ไม่มีอาการของรอยจ้ำแดง ๆ บนผิวหนัง แต่กลับพบอาการสมองอักเสบร่วม" นพ.ธีระวัฒน์ กล่าวด้วยความเป็นห่วง

ว่าแต่!! เจ้าโรคไข้สมองอักเสบนี่คืออะไรกันนะ...มาทำความรู้จักเจ้าโรคนี้กันดีกว่า

เจ้าโรคไข้สมองอักเสบ เกิดจากการอักเสบของเนื้อสมองทั่ว ๆ ไป หรือเฉพาะบางส่วนจากเชื้อไวรัส เนื่องจากเนื้อสมองอยู่ติดกับเยื่อหุ้มสมอง จึงอาจพบการอักเสบของเยื้อหุ้มสมองร่วมกับการอักเสบของสมองด้วยได้ โรคนี้มีมีความสำคัญเนื่องจากเมื่อเป็นแล้วมีอัตราการตายสูง หากรอดชีวิตมักมีความพิการหรือผิดปกติทางสมองตามมา ซึ่งสาเหตุส่วนใหญ่เกิดจากเชื้อไวรัส ซึ่งจะแตกต่างกันไปตามภูมิภาคต่าง ๆ ของโลก สภาวะอากาศ ฤดูกาลโอกาสในการสัมผัสกับสัตว์นำโรค และภูมิต้านทานของผู้ป่วย

สำหรับประเทศไทย เชื้อไวรัสที่ชื่อ เจอี (Japanese B encephalitis) เป็นสาเหตุการติดเชื้อไวรัสในสมองที่พบบ่อยที่สุด ประมาณร้อยละ 80 ของผู้ป่วยไข้สมองอักเสบเกิดจากเชื้อเจอี โรคนี้พบได้ทุกภาคของประเทศไทย รวมทั้งเขตชานเมืองของกรุงเทพฯ เชื้อไวรัสอื่นๆ ที่เป็นสาเหตุ เช่น เอนเทอโรไวรัส(enterovirus) , เชื้อโรคมือ เท้า ปาก (อีวี 71) , เชื้อโรคพิษสุนัขบ้า , เชื้อหัด , เชื้อเริม (Herpes simplex virus) , เชื้ออีสุกอีใส , เชื้อคางทูม , เชื้อเอดส์ , เชื้อนิปาห์ เป็นต้น

เมื่อหลังจากโดนยุงที่มีเชื้อกัด จะมีเชื้อเข้าไปในร่างกายของคนและเพิ่มจำนวนมากขึ้น จนมากพอที่จะทำให้เกิดอาการของโรค คือทำให้สมองและเยื้อหุ้มสมองอักเสบระยะนี้คือระยะฟักตัว กินเวลา 7 – 10 วัน หรืออาจนานถึง 2 สัปดาห์ เชื้อไวรัสเจอีจะอยู่ในสัตว์ที่มีกระดูกสันหลัง โดยเฉพาะลูกหมู เนื่องจากลูกหมูที่หย่านมแม่นาน 1 เดือน ภูมิคุ้มกันจากแม่จะเริ่มหมดไป เมื่อยุงที่มีเชื้อกัดลูกหมูเชื้อสามารถอยู่ในลูกหมูได้นาน โดยลูกหมูไม่มีอาการ เมื่อยุงตัวอื่นกัดลูกหมูที่มีเชื้อ ยุงนั้นก็จะสามารถแพร่เชื้อต่อไปได้ ลูกหมูจึงเป็นตัวกระจายเชื้อที่สำคัญ นอกจากนี้ วัว ควาย ม้า ลา แพะ แกะ ค้างคาว ก็เป็นแหล่งแพร่เชื้อได้

ลองมาสังเกตอาการกันดูว่า คนที่ป่วยโรคไข้สมองอักเสบจะมีอาการอย่างไร…

อาการของผู้ป่วยมีด้วยกัน 2 ลักษณะ คือ ติดเชื้อเฉียบพลัน อาการเปลี่ยนแปลงภายใน 1 สัปดาห์ อาทิ มีไข้สูง ปวดศีรษะ คลื่นไส้อาเจียน เบื่ออาหาร กลัวแสง คอแข็ง ชัก พฤติกรรมเปลี่ยนแปลง และซึม ส่วนกลุ่มที่สองเป็นกลุ่มที่เป็นเรื้อรัง อาการจะแสดงอย่างค่อยเป็นค่อยไป อาจมีไข้หรือไม่มีก็ได้ การดำเนินโรคช้าแต่รุนแรงขึ้นเรื่อย ๆ ดังนั้น หากมีอาการต่าง ๆ ข้างบนนี้ควรรีบปรึกษาแพทย์โดยทันที

เป็นที่น่าเสียดาย ที่ปัจจุบันยังไม่มียารักษาโดยเฉพาะสำหรับเชื้อไวรัสส่วนใหญ่ ยกเว้น เชื้อเริม (Herpes simplex virus) ซึ่งมียาอะไซโคลเวียรักษาได้ แต่ต้องให้ในระยะเริ่มแรกของโรคจึงได้ผลดี นอกจากนี้สมองอักเสบจากไข้รากสาดใหญ่มียาที่ใช้รักษาได้ เชื้ออื่น ๆ ยังไม่มียาที่รักษาได้ผลแน่นอน ดังนั้นการรักษาส่วนใหญ่จึงเป็นการรักษาประคับประคองตามอาการ เช่น ให้ยาลดไข้ ยาระงับ ยาช่วยลดอาการบวมของสมอง ช่วยการหายใจแก้ภาวะเกลือแร่ไม่สมดุล รักษาภาวะติดเชื้อแทรกซ้อน ภายหลังการป่วยเป็นไข้สมองอักเสบ ผู้ป่วยส่วนน้อยที่มีอาการไม่รุนแรงอาจหายเป็นปกติได้ แต่ผู้ป่วยส่วนมากที่มีอาการรุนแรงอาจเสียชีวิต หรือในกรณีที่รอดชีวิตมักมีความพิการทางสมองหลงเหลืออยู่ เช่น ชัก อัมพาต ปัญญาอ่อน พฤติกรรมและอารมณ์เปลี่ยนแปลง พูดไม่ได้ ฟังไม่เข้าใจ บางรายอาจกลายเป็นเจ้าหญิงหรือเจ้าชายนิทราไปเลยก็ได้!!

อย่างไรก็ตาม การป้องกันไว้ก่อน เป็นสิ่งที่ดีที่สุด...เพราะโรคนี้รักษายาก การป้องกันจึงเป็นสิ่งสำคัญ โรคไข้สมองอักเสบส่วนใหญ่ป้องกันได้ ในปัจจุบันมีวิธีป้องกันที่สำคัญ 2 วิธี ได้แก่ การฉีดวัคซีน และการหลีกเลี่ยงการสัมผัสกับเชื้อโรค วัคซีนที่ใช้ป้องกันโรคสมองอักเสบในปัจจุบัน ได้แก่วัคซีนป้องกันเชื้อเจอีซึ่งแนะนำให้แก่เด็กไทยทุกคน วัคซีนป้องกันโรคไข้สมองอักเสบจากพิษสุนัขบ้า โดยฉีดวัคซีนป้องกันก่อนหรือหลังสัมผัสโรค วัคซีนป้องกันหัด วัคซีนป้องกันโรคคางทูม วัคซีนป้องกันโรคสุกใส เป็นต้น

ส่วนวิธีป้องกันอีกวิธี คือ การดูแลสุขอนามัยเบื้องต้น โดยการล้างมือทุกครั้ง เมื่อสัมผัสกับจุดเสี่ยงต่อการติดเชื้อโรคอย่างลูกบิด ราวบันได นอกจากนี้ยังควรใช้ช้อนกลางทุกครั้งที่ทานอาหารร่วมกับผู้อื่น แยกของใช้ภาชนะบริโภค และป้องกันไม่ให้ยุงกัด เป็นต้น

ไม่เพียงเท่านี้ โรคร้ายอย่างไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ 2009 ก็ยังไม่ลาจากไปไหน ยังอยู่คู่คนไทยไปถึงปีหน้าฟ้าใหม่เลยทีเดียว เพราะจากการคาดการณ์ของผู้อำนวยการศูนย์ความร่วมมือองค์การอนามัยโลกฯ พบว่า สำหรับสถานการณ์โรคไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ 2009 ขณะนี้ยังต้องเฝ้าระวังเป็นพิเศษ เนื่องจากศูนย์ควบคุมและป้องกันโรคสหรัฐอเมริกา ยืนยันว่า ผู้ป่วยที่เป็นแล้วมีโอกาสเป็นซ้ำอีกรอบ

นอกจากนี้ ผู้ป่วยที่มีภูมิคุ้มกันอ่อนแอเป็นกลุ่มที่ต้องเฝ้าระวังเป็นพิเศษ เพราะจะปลดปล่อยไวรัสได้นานขึ้น ทำให้มีการเปลี่ยนแปลงรหัสพันธุกรรม และแข็งแรงขึ้น จนเกิดการดื้อยา อย่างที่ประเทศอังกฤษเกิดขึ้นแล้ว 6 ราย! ส่วนวิธีการป้องกันการระบาดของหวัด 2009 คงเป็นเรื่องที่ทุกคนรู้กันอยู่แล้ว ขึ้นอยู่กับว่าคุณจะทำหรือเปล่า!

นอกจากนี้เจ้าโรคไข้หวัดใหญ่ ที่เป็นเหมือนเพื่อนเกลอของมนุษย์มาช้านาน ยังอาจกลับมาระบาดอีกระลอก โดยเฉพาะสายพันธุ์ใหม่ ๆ ที่อาจจะรุนแรงและมีการระบาดได้มากขึ้น แม้ว่าเด็กบางคนอาจจะเคยเป็นโรคนี้มาก่อนแล้ว ก็สามารถเป็นอีกได้ เพราะทุก ๆ ปี ไข้หวัดใหญ่ทุกสายพันธุ์ที่เป็นชนิดเอ จะมีการพัฒนาตัวเอง ทำให้ระบบภูมิต้านทานในร่างกายของเราจำเจ้าเชื้อตัวนี้ไม่ได้ เมื่อได้รับเชื้อมาก็สามารถทำให้เราป่วยได้อีก และแม้ว่าโรคนี้จะไม่ใช่โรคที่รุนแรงมากนัก แต่เป็นโรคที่มีผลกระทบ เพราะทำให้ไม่สบายอยู่หลายวัน โดยเฉพาะในเด็กเล็กซึ่งมีภาวะเสี่ยง อาจจะติดเชื้อได้ง่ายขึ้น

เจ้าโรคไข้เลือดออกก็ไม่น้อยหน้า เฝ้ารอเวลาที่จะกลับมาระบาดหนักอีกครั้ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในพื้นที่ที่ระบบการกำจัดลูกน้ำยุงลายไม่ดี มีการก่อสร้างตลอดเวลา และมีน้ำขังตามที่ต่าง ๆ ก็จะมีปัญหาการระบาดของโรคไข้เลือดออกเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ...ยังค่ะ ยังไม่หมด เพราะสมาคมโรคอัลไซเมอร์สากล ยังออกมาเปิดเผยรายงานอีกว่า ทางสมาคมฯได้ทำการประเมินว่า ก่อนปี 2010 ทั่วโลกจะมีประชากรป่วยเป็นโรคอัลไซเมอร์ หรือโรคความจำเสื่อม เป็นจำนวนกว่า 35 ล้านคน และจะเพิ่มขึ้นเป็น 65.7 ก่อนปี 2030 และขยับเพิ่มขึ้นเป็น 115.4 ล้านคน ก่อนปี 2050!

จำนวนตัวเลขของแต่ละโรคที่เพิ่มสูงขึ้นนี้ จะสามารถลดลงได้ถ้าทุกคนหันมาใส่ใจสุขภาพของตนเอง…!!!

เพราะสุขภาพที่ดี จะเป็นเกราะป้องกันโรคภัยไข้เจ็บที่สำคัญที่สุด ดังนั้น ในปี 2010 ที่จะถึงในอีกไม่กี่วันนี้ สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) ขอเป็นอีกหนึ่งกำลังใจในการส่งเสริมการปฏิวัติสุขภาพใหม่ ด้วยการรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ และออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ... ให้ปีใหม่ปีนี้ เป็นปีแห่งการเริ่มต้นสร้างเสริมสุขภาพที่ดีค่ะ


ข้อมูลจาก สสส

โรคสะเก็ดเงิน Psoriasis



โรคสะเก็ดเงิน เป็นหนึ่งใน โรคผิวหนัง ที่มีหลายคนเป็น ซึ่งวันนี้กระปุกก็นำข้อมูลเกี่ยวกับ โรคสะเก็ดเงิน โรคผิวหนัง ชนิดนี้มาบอกต่อไว้เป็นความรู้กัน

โรคสะเก็ดเงิน ( Psoriasis ) เป็น โรคผิวหนังอักเสบเรื้อรังที่พบได้บ่อย บางคนอาจเรียก โรคสะเก็ดเงิน ว่า เรื้อนกวาง เหตุที่เรียกว่า โรคสะเก็ดเงิน เพราะผื่นที่เกิดขึ้นจะเป็นตุ่มสีแดงมีขอบชัด และบนผื่นจะมีขุยสีขาว ดูเหมือนมีสะเก็ดสีขาวคล้ายเงินปกคลุมอยู่ ทำให้มีการเรียกชื่อโรคนี้ว่า โรคสะเก็ดเงิน ตามลักษณะของผื่นนั่นเอง

สาเหตุที่ทำให้เกิด โรคสะเก็ดเงิน

โรคสะเก็ดเงิน เป็นโรคที่เกิดจากความผิดปกติทางพันธุกรรมเป็นพื้นฐาน และมีปัจจัยภายใน และปัจจัยภายนอกเป็นตัวกระตุ้นให้โรคกำเริบได้ โดยปัจจัยภายใน เช่น การเกิดโรคต่าง ๆ ภาวะทางจิตใจ ความเครียด ส่วนปัจจัยภายนอก เช่น การรับประทานอาหาร หรือยาบางชนิด การเปลี่ยนแปลงทางฮอร์โมน การติดเชื้อโรคต่าง ๆ การเกา แกะผิวหนัง ฯลฯ

ชนิดของ โรคสะเก็ดเงิน

ประเภทของ โรคสะเก็ดเงิน แบ่งได้ตามลักษณะของผื่น คือ

Plaque

เป็น โรคสะเก็ดเงิน ที่พบได้บ่อยที่สุด ลักษณะเป็นผื่นแดงนูนหนา มีขอบชัดเจน บนผื่นจะมีขุยสีขาวเงิน ซึ่งสะเก็ดนี้เป็นเซลล์ผิวหนังที่ตายแล้ว ผิวหนังบริเวณผื่นมักจะแห้ง คัน และเกิดเป็นแผลได้ง่าย แพทย์เรียกชนิดนี้ว่า psoriasis vulgaris

Guttate

เป็น โรคสะเก็ดเงิน ที่มีผื่นเหมือนรูปหยดน้ำสีแดง ๆ เล็ก ๆ พบมากที่ลำตัว แขน ขา โดยผื่นนี้จะไม่หนาเท่าชนิด Plaque ผื่นสามารถเกิดขึ้นได้หากผิวหนังติดเชื้อ มักพบในเด็กและวัยรุ่น

Inverse

เป็น สะเก็ดเงิน ที่มักพบในคนอ้วนที่มีเหงื่อออกมาก และระคายเคือง ลักษณะผื่นจะราบเรียบ ผิวแห้ง อักเสบแดง ไม่มีขุย และไม่หนา มักพบตามข้อพับ รักแร้ เต้านม ก้น

Erythrodermic

เป็น โรคสะเก็ดเงิน ชนิดที่พบได้น้อยที่สุด มักพบในผู้ป่วยที่เป็นโรคสะเก็ดเงินที่ผื่นสะเก็ดเงินหลุดง่าย โดยผื่นชนิดนี้จะแดง กระจายไปทั่ว และมักจะมีอาการบวม ปวด และคันร่วมด้วย

Generalized Pustular

เป็นผื่นสะเก็ดเงินแดง บวมปวด และมีตุ่มหนองเกิดขึ้น หากแผลแห้งแล้วก็สามารถกลับมาเป็นหนองได้อีก

Localized Pustular

เป็น โรคสะเก็ดเงิน ที่มีผื่นตุ่มหนองเกิดขึ้นที่บริเวณมือและเท้า ขนาดประมาณครึ่งเซนติเมตร

อาการของ โรคสะเก็ดเงิน

อาการ สะเก็ดเงิน มักจะเกิดเป็นผื่นแบบเป็น ๆ หาย ๆ ซึ่งโรคสะเก็ดเงิน จะกำเริบได้ เมื่อผิวหนังบาดเจ็บ เช่นจากการเกา ผิวไหม้จากแดด ติดเชื้อไวรัส หรือแพ้ยา โดยจะมีอาการดังนี้

ผิวหนัง

จะเริ่มเป็นผื่นเล็ก ๆ สีแดง มีขอบชัดเจน รูปทรงกลมหรือรูปไข่ และมีขุย หรือสะเก็ดสีขาวเงินติดอยู่ หากแกะขุยจะมีเลือดออก ก่อนที่ผื่นจะขยายวงกว้างออกไป ทั้งในรูปก้นหอย หรือหยดน้ำ มักเกิดที่ศอก เข่า ขา แขน คอ ศีรษะ

เล็บ

เล็บของผู้ที่เป็น สะเก็ดเงิน จะเป็นหลุมเล็ก ๆ ขรุขระ หรือมีการหนาตัวอยู่ในเล็บ หากเป็นมาก เล็บจะผุ ร่อนออกมาจากพื้นเล็บได้

ข้อ

ผู้ที่เป็น สะเก็ดเงิน หลังจากมีผื่นขึ้นตามลำตัวแล้ว จะเริ่มปวดข้อเล็ก ๆ ตั้งแต่ปลายนิ้วมือ เท้า มักเป็นสองข้าง บางครั้งอาจปวดตามข้อใหญ่ เช่น ข้อมือ ข้อเท้า ข้อเข่า ข้อหลัง โดยอาการที่มักพบคือ ปวดข้อ บริเวณรอบข้อ ข้อติดในตอนเช้า หากไม่ได้รับการดูแลรักษาอย่างถูกต้อง อาจทำให้ข้อพิการได้





โรคสะเก็ดเงิน


ความรุนแรงของ โรคสะเก็ดเงิน

เราสามารถแบ่งความรุนแรงของ โรคสะเก็ดเงิน ได้ 3 ระดับ คือ

Mild Psoriasis คือ โรคสะเก็ดเงิน ที่มีผื่นขึ้นน้อยกว่า 2% มักพบเป็นแห่ง ๆ เช่น เข่า ข้อศอก หนังศีรษะ รักษาได้โดยการทายา

Moderate Psoriasis คือ โรคสะเก็ดเงิน ที่มีผื่นขึ้นอยู่ระหว่าง 2-10% โดยมากมักขึ้นที่แขน ขา ลำตัว หนังศีรษะ รักษาได้โดยการทายาและรับประทานยา

Severe Psoriasis คือ โรคสะเก็ดเงิน ที่มีผื่นขึ้นมากกว่า 10% ทำให้ผิวหนังแดง เป็นตุ่มหนอง ผิวหนังหลุดลอก และผู้ป่วยมักจะมีอาการข้ออักเสบด้วย

การรักษา โรคสะเก็ดเงิน

การรักษา โรคสะเก็ดเงิน แบ่งออกเป็น 3 ขั้นตอน โดยจะรักษาตามขั้นตอน ตั้งแต่ ขั้นที่ 1 เมื่อไม่ได้ผลจึงไปขั้นที่ 2 และขั้นที่ 3

ขั้นที่ 1 การใช้ยา

ยาที่ใช้รักษา โรคสะเก็ดเงิน นิยมใช้ยาต่าง ๆ ดังนี้

ยาทาสเตียรอยด์

เป็นยาที่นิยมใช้รักษา โรคสะเก็ดเงิน มากที่สุด มีหลายรูปแบบ การใช้ขึ้นอยู่กับตำแหน่งที่เป็น เช่น หากผู้ป่วยมีผื่นหนาที่แขน ขา มือเท้า ให้ใช้ยาในรูปขี้ผึ้ง หากมีผื่นบางที่ใบหน้า ข้อพับ ไม่ควรใช้ยาขี้ผึ้ง เพราะฤทธิ์แรงเกินไป แต่หากมีผื่นหนาที่ศีรษะให้ใช้ยาในรูปแบบครีมเหลว หรือครีมน้ำนม แต่หากผื่นบนศีรษะบาง ให้ใช้ยาน้ำ เพื่อให้ซึมเข้าสู่ศีรษะได้ดีกว่า ส่วนยาประเภททาน และฉีด ห้ามใช้กับผู้ป่วย โรคสะเก็ดเงิน เพราะอาจเกิดตุ่มหนอง ผื่นทั่วตัว รุนแรงกว่าเดิม

ข้อดีของยาทาสเตียรอยด์ หาซื้อได้ง่าย ผื่นยุบเร็ว แต่ข้อเสียคือ หากใช้นานอาจทำให้เกิดภาวะดื้อยาได้ และหากหยุดยา อาจกลับมาเป็นผื่นได้ใหม่ และรุนแรงขึ้น นอกจากนี้หากยามีฤทธิ์แรงจะทำให้ต่อมหมวกไตมีปัญหา และส่งผลต่ออวัยวะอื่น ๆ

ยากลุ่มอนุพันธ์ของวิตามิน ดี 3 (Calcipotriene)

เป็นยารูปแบบวิตามินดี ลักษณะเป็นครีม ราคาค่อนข้างแพง เหมาะกับผู้ป่วยโรคสะเก็ดเงิน ที่เป็นน้อยจนถึงปานกลาง แต่ไม่ควรใช้ร่วมกับยาชนิดอื่น และไม่ควรใช้มาก เนื่องจากอาจเกิดการระคายเคืองได้ จึงไม่ควรใช้บริเวณใบหน้า ข้อพับ อวัยวะเพศ

ยากลุ่มน้ำมันดิน

เป็นสารเคมีกลุ่มไฮโดรคาร์บอน ที่ได้มาจากธรรมชาติ ผู้ที่เป็นผื่นที่หนังศีรษะ สามารถใช้ แชมพูผสมน้ำมันดิน (Tar Shampoo) ช่วยรักษา โรคสะเก็ดเงิน ได้ ส่วน ครีมผสมน้ำมันดิน ก็ใช้รักษาผื่นที่ฝ่ามือและฝ่าเท้าได้ดี ข้อดี คือ โอกาสที่ผื่น และผิวหนังอักเสบจะกลับมาเป็นใหม่ เป็นได้ช้ากว่าใช้ยาสเตียรอยด์ แต่ข้อเสียคือ หาซื้อยาก ต้องซื้อตามโรงพยาบาลใหญ่ ๆ และยังมีสีและกลิ่นที่ไม่น่าใช้ ยาออกฤทธิ์ช้าไม่ทันใจ

ยาทากลุ่มเรตินอล วิตามินเอ

ทำเป็นยาเจลทาวันละครั้ง ใช้ได้ดีกับ โรคสะเก็ดเงิน ที่หนังศีรษะและเล็บ โดยมักใช้ร่วมกับยาสเตียรอยด์

แอนทราลีน (Anthralin)

เป็นยาที่ใช้รักษา โรคสะเก็ดเงิน มานานและนิยมใช้มากที่สุด หากผู้ป่วยมีอาการรุนแรงจะใช้รักษาร่วมกับรังสี UV ข้อจำกัดมีเพียงแค่ทำให้เกิดอาการระคายเคือง และทำให้ผิวหนังบริเวณที่ทามีสีคล้ำขึ้น นอกจากนี้ไม่ควรใช้กับผื่นแดงและมีน้ำเหลือง เพราะอาจทำให้โรคกำเริบมากขึ้น และไม่ควรใช้กับผื่นบริเวณหน้า คอ ข้อพับ ขาหนีบ อวัยวะเพศ เพราะจะระคายเคืองได้ง่าย

Salicylic Acid

เป็นยาใช้ละลายขุย ทำให้ผิวหนังนุ่ม ลอกขุยออกได้ง่าย เพราะมีส่วนผสมของกรด อยู่ในรูปครีม หรือขี้ผึ้ง เหมาะใช้กับผื่นที่ฝ่ามือ ฝ่าเท้า แต่ไม่ควรใช้กับข้อพับ และเด็ก เพราะทำให้เกิดการระคายเคืองได้ง่าย

ขั้นที่ 2 การใช้แสงรักษา Phototherpy

Ultraviolet Light B

เป็นการรักษาโดยใช้รังสีอัลตราไวโอเล็ตบี ใช้ได้ดีกับคนที่เป็นมาก โดยมีผลข้างเคียงน้อย คือ จะมีอาการคันและอาการแดงหรือไหม้ของผิวหนัง แต่มีข้อจำกัดคือ ผู้ป่วยต้องมารักษาที่โรงพยาบาล 3-5 ครั้งต่อสัปดาห์ เป็นเวลา 2-3 เดือนติดต่อกัน จากนั้นให้ทำ 1-2 ครั้งต่อสัปดาห์

PUVA

เป็นการรักษา โรคสะเก็ดเงิน โดยใช้แสงอัลตราไวโอเล็ตเอ หรือ PUVA ร่วมกับการใช้ยา psoralen โดยให้ผลดีถึงร้อยละ 75 แต่มีผลข้างเคียงมาก คืออาจทำให้เกิดมะเร็งผิวหนังได้ ดังนั้นควรใช้ในผู้ที่มีอาการรุนแรง และผู้ป่วยจะต้องได้รับการฉายแสง สัปดาห์ละ 2 ครั้ง รักษาประมาณ 20-30 ครั้ง ให้รักษาต่อไปอีก 2-3 เดือน จะลดโอกาสการเกิดซ้ำได้ใหม่

ขั้นที่ 3 การให้ยารับประทาน

ยาที่นิยมใช้ ได้แก่

เมโธเทร็กเซท (Methotrexate)

มักนิยมใช้กับผู้ป่วย โรคสะเก็ดเงิน ที่เป็นรุนแรง ไม่ตอบสนองต่อการรักษาวิธีอื่นโดยใช้การรับประทานและฉีดอาทิตย์ละครั้ง เพราะมีผลข้างเคียงสูง คือ อาจทำให้ผู้ใช้รู้สึกคลื่นไส้ อาเจียน เบื่ออาหาร รวมทั้งอาจทำให้เกิดตับอักเสบ และตับแข็ง ดังนั้นการใช้ยานี้ต้องอยู่ในความดูแลของแพทย์ และผู้ป่วยต้องตรวจเลือดก่อนการรักษา และหลังการรักษาทุก ๆ 3-4 เดือน

นอกจากนี้ ยาประเภทนี้ยังใช้ไม่ได้กับผู้ป่วยบางประเภท เช่น หญิงตั้งครรภ์ , ผู้ป่วยโรคตับหรือไต, ผู้ป่วยที่มีเม็ดเลือดขาวและเกร็ดเลือดต่ำกว่าปกติ,ผู้ที่ดื่มเหล้ามาก, ผู้ที่ติดเชื้อระยะรุนแรง เป็นต้น

Oral Retinoids

เป็นยาในกลุ่มวิตามินเอ ใช้รักษาโรคสะเก็ดเงินรุนแรง โดยต้องใช้ร่วมกับ UVB และ PUVA ผลข้างเคียงของการใช้ยาคือ ผิวจะแห้ง ลอกเป็นขุย ผมร่วง ทำให้ไขมันในเลือดสูง และตับอักเสบ หากหยุดการรักษาในระยะต้น ๆ จะกลับเป็นปกติได้ หากใช้ยาเกิน 1 ปี อาจทำให้เกิดกระดูกงอกได้

ข้อควรระวังคือ ยานี้ไม่ควรใช้กับสตรีมีครรภ์ เพราะอาจทำให้ทารกพิการ และผู้ใช้ยาห้ามตั้งครรภ์อย่างน้อย 2 ปี เนื่องจากยาสามารถอยู่ในเลือดได้นานถึง 2 ปี และไม่ควรได้รับวิตามินเสริม โดยเฉพาะวิตามินเออีก

ไซโคสปอริน (Cyclosporine)

เป็นยากดภูมิคุ้มกัน ที่ใช้กับผู้ป่วย โรคสะเก็ดเงิน รุนแรง ผลข้างเคียงคือ อาจทำให้เกิดความดันโลหิตสูง เป็นพิษต่อไตได้ ถ้าหยุดยาในระยะต้น ๆ อาจจะสามารถกลับมาเป็นปกติได้ ไม่ควรใช้กับผู้ที่ไตพิการ มีโรคความดันโลหิตสูง เคยเป็นมะเร็งมาก่อน หญิงตั้งครรภ์ หรือกำลังให้นมบุตร ผู้ที่มีความบกพร่องของระบบภูมิคุ้มกัน เป็นต้น

การเลือกใช้ยา ตามตำแหน่งที่เกิดโรค

ศีรษะ

กรณีที่ขุยบนศีรษะไม่หนามาก ให้สระผมด้วยแชมพูที่มีส่วนผสมของน้ำมันดินร้อยละ 2-8 (Tar shampoo) หาขุยหนา ให้ใช้น้ำมันมะกอก หรือขี้ผึ้งผสม 1-3% Salicylic acid นวดหนังศีรษะทิ้งไว้ 4 ชั่วโมง หรือทิ้งไว้ข้ามคืน เพื่อให้หนังศีรษะนุ่มลงก่อน แล้วจึงสระผมด้วยน้ำอุ่นและแชมพูที่มีส่วนผสมของน้ำมันดิน นวดให้ทั่วศีรษะทิ้งไว้ 5 นาทีแล้วล้างน้ำออก ใช้หวีซี่ถี่ ๆ ค่อย ๆ ขูดสะเก็ดบนหนังศีรษะออก อย่าขูดแรง เพราะอาจทำให้ สะเก็ดเงิน ขึ้นมาใหม่ และเมื่อผื่น หรือสะเก็ดเงินหายแล้ว ให้สระผมด้วยแชมพูยาสัปดาห์ละ 1-2 ครั้ง
นอกจากนี้ยังสามารถใช้วิตามินดี (Calcipotriol) นวดศีรษะ เพื่อลดการอักเสบได้

เล็บ

การรักษาสะเก็ดเงินที่เล็บ ทำได้โดยการใช้ยาทาสเตียรอยด์ ซึ่งเป็นยาแรง ดังนั้นจึงควรอยู่ในความดูแลของแพทย์ และยังสามารถใช้ยาทากลุ่มวิตามินดี ทาร่วมกันได้ โดยผู้ที่มีขุยที่เล็บ ต้องทำให้ขุยลอกหลุดเสียก่อน ด้วยการใช้ 10-20 % Salicylic acid ในรูปครีมหรือขี้ผึ้งทาทิ้งไว้ข้ามคืน แล้วขูดสะเก็ดออกแล้วจึงทายาสเตรียอยด์หรือ Calcipotriol ointment

ใบหน้า

นิยมใช้ยาสเตียรอยด์ชนิดอ่อน ๆ รักษา เพื่อไม่ให้เกิดการระคายเคืองต่อผิวหน้าที่บอบบาง และไม่ควรใช้ในระยะเวลานาน

ขอขอบคุณข้อมูลจาก
- siamhealth.net
- si.mahidol.ac.th

ปวดส้นเท้าจี๊ด ๆ ตอนตื่นนอน ระวัง โรครองช้ำ


เหยียบย่างเท้าแต่ละที แต่ละก้าว ทำไมมันแปล๊บ ๆ อย่างกับโดนเข็มทิ่ม โดยเฉพาะก้าวแรกหลังตื่นนอนตอนเช้านี่เจ็บสุด ๆ สงสัยว่าจะเป็น โรครองช้ำ ซะแล้วล่ะมั้ง ว่าแต่ โรครองช้ำ คืออะไรกัน มารู้จัก โรครองช้ำ กันเลย

โรครองช้ำ คืออะไร

โรครองช้ำ หรือโรคพังผืดส้นเท้าอักเสบ คือ การมีจุดปวดบนเท้า ส้นเท้า เช่น เวลาเดินลงน้ำหนัก โดยเกิดจากการอักเสบ หรือฉีกขาดของผังผืดฝ่าเท้า Placentar Fascia ที่สัมพันธ์กับการเดินลงน้ำหนักที่เท้า

อาการของ โรครองช้ำ

ที่พบบ่อยคือ จะมีอาการปวดส้นเท้า หรือส่วนโค้งใกล้ส้นเท้า โดยเจ็บคล้าย ๆ กับมีของแหลมมาทิ่ม และกล้ามเนื้อน่องจะมีอาการเกร็ง ซึ่งอาการเจ็บ โรครองช้ำ นี้จะเป็นมากช่วงเช้า หลังตื่นนอน เมื่อก้าวเท้าก้าวแรก และจะมีอาการดีขึ้น เมื่อมีการบริหารฝ่าเท้า แต่บางครั้งอาจจะปวดทั้งวัน หากยืนนาน ๆ หรือเดินนาน ๆ

ปัจจัยเสี่ยงต่อ โรครองช้ำ

ผู้ที่มีปัจจัยเสี่ยงกับ โรครองช้ำ ได้แก่

ผู้ที่มีน้ำหนักตัวมากเกิน หรือเป็นโรคอ้วน

ผู้ที่เป็นโรคเบาหวาน

นักกีฬาที่ต้องใช้เท้ามาก ๆ เช่น นักวิ่ง

ผู้ที่มีฝ่าเท้าแบน หรือมีส่วนโค้งของเท้ามาก

ผู้ที่ใส่รองเท้าไม่พอดีกับรองเท้า

ผู้สูงอายุ โดยเฉพาะเพศหญิง

ผู้หญิงที่ใส่รองเท้าส้นสูงเป็นประจำ


วิธีดูแลรักษา โรครองช้ำ

เนื่องด้วย โรครองช้ำ ไม่ได้เป็นอันตรายถึงแก่ชีวิต แต่หากเป็นแล้วก็สร้างความทรมานจากอาการปวดเท้าได้เช่นกัน ซึ่งแน่นอนว่าย่อมกระทบต่อการใช้ชีวิตประจำวัน โดยการรักษาแบ่งเป็น การดูแลรักษาด้วยตัวเอง และแนวทางรักษาโดยแพทย์

การดูแลรักษาด้วยตัวเอง

หยุดกิจกรรมที่ต้องใช้เท้านาน ๆ หากเป็นการเล่นกีฬา ออกกำลังกาย ควรเลือกกีฬาที่ไม่ต้องลงน้ำหนักที่เท้ามากนัก เช่น การว่ายน้ำ ขี่จักรยาน เดินเร็ว วิ่งเหยาะ ๆ เป็นต้น และควรหลีกเลี่ยงการเล่นกีฬาบนพื้นแข็ง

สวมรองเท้าส้นนิ่มขณะออกกำลังกาย โดยอาจใช้แผ่นรองเสริมอุ้งเท้า เพื่อลดแรงกระแทกที่ฝ่าเท้าที่กระทำกับพื้นรองเท้า และช่วยกระจายน้ำหนักขณะเดิน

ออกกำลังกายด้วยการยืดกล้ามเนื้อน่อง และยืดพังผืดใต้ฝ่าเท้าบ่อย ๆ

ไม่ควรเดินเท้าเปล่า ควรใส่รองเท้าที่มีพื้นนุ่มส้นสูงกว่าส่วนหน้าเล็กน้อย อย่าเกิน 1-2 นิ้ว และไม่ควรใส่รองเท้าที่แบนราบเสมอกัน

ควบคุมน้ำหนักตัว ไม่ให้มากเกินไป เพราะหากน้ำหนักมาก เส้นเอ็นฝ่าเท้าก็ต้องรับน้ำหนักมาก ทำให้รักษาหายช้า

ประคบด้วยความร้อน หรือความเย็น เพื่อรักษาการอักเสบของเอ็น โดยอาจใช้ยานวด นวดฝ่าเท้า หรือใช้ผ้าพันที่ฝ่าเท้าและส้นเท้า

แนวทางการรักษาโดยแพทย์

1.รับประทานยา หากวิธีบำบัดเท้าข้างต้นไม่ได้ผล แพทย์อาจจะให้รับประทานยา เช่น ยาคลายกล้ามเนื้อ ยาแก้ปวด

2. ฉีดยาสเตียรอยด์เฉพาะที่ บริเวณส้นเท้าจุดที่ปวด แต่ไม่ควรฉีดเกิน 2 ครั้งใน 1 เดือน เพราะอาจทำให้เส้นเอ็นฝ่าเท้าเปื่อยและขาดได้

3.ทำกายภาพบำบัด โดยใช้ความร้อนลึก (อัลตร้าซาวด์) ดัดยืดเส้นเอ็นฝ่าเท้า ใช้ไม้เท้าช่วยเดิน เป็นต้น

4.ใส่เฝือกชั่วคราวให้ข้อเท้ากระดกขึ้น ในตอนกลางคืน หรือถ้าเป็นมาก อาจต้องใส่เฝือกตลอดทั้งวัน

5.ผ่าตัดเลาะพังผืด จะทำต่อเมื่อรักษาวิธีอื่นไม่ได้ผล แต่แพทย์ไม่ค่อยแนะนำวิธีนี้ เพราะมีโอกาสทำให้เกิดภาวะแทรกซ้อนได้

ส่วนผู้ที่มีโครงสร้างเท้าเท้าผิดรูปควรปรึกษาแพทย์ เพื่อปรึกษาปัญหา และตัดแผ่นรองเท้าที่มีขนาดเหมาะสม

อย่างไรก็ตาม โรครองช้ำ สามารถเป็น ๆ หาย ๆ ได้อยู่ตลอดเวลา ขึ้นอยู่กับปัจจัยเสี่ยง ถ้าหลีกเลี่ยงปัจจัยเสี่ยงต่าง ๆ ได้ ก็สามารถหายขาดจาก โรครองช้ำ ได้



ขอขอบคุณข้อมูลจาก

- bangkokhealth.com
- thairunning.com

อันตรายของวิตามินซี


อันตรายของวิตามินซี (ชีวจิต)

เพราะมีงานวิจัยมากกว่า 30 ชิ้นในปี 2007 ที่ยืนยันว่า วิตามินซีป้องกันหวัดได้ ผู้คนเลยเชื่อตามนั้น และแห่แหนกันซื้อวิตามินรสเปรี้ยวชนิดเม็ดมากินกัน อย่างเอาเป็นเอาตาย โดยเฉพาะช่วงที่ไข้หวัดใหญ่ 2009 ระบาด

แต่คุณรู้หรือไม่ หากกินวิตามินชนิดละลายในน้ำตัวนี้มากเกินไป อาจทำให้เกิด

นิ่วในไต

ปวดท้อง

อาการเลือดออกในเด็ก

รู้อย่างนี้แล้ว เชื่ออาจารย์สาทิส อินทรกำแหง กูรูชีวจิตตั้งนานแล้ว (ควรกินวันละ 500-1000 มิลลิกรัม) เพื่อความถูกต้องและสมดุลในการบริโภค


อ้างอิงชีวจิต

บ้าแชต เหมือน ติดยา


บ้าแชต" เหมือน "ติดยา" (ไทยโพสต์)

จิตแพทย์ชี้ ติด "แชตมือถือ" หนักๆ ก็เหมือนคนติดยาเสพติด ส่งผลกระทบจิตใจ เสียสุขภาพ สมาธิสั้น เตือนพ่อแม่ระวังเด็กใช้มากเกิน

นพ.ทวีศิลป์ วิษณุโยธิน ผอ.สำนักสุขภาพจิตสังคม กล่าวว่า การใช้เทคโนโลยีของคนในสังคมปัจจุบันนี้แบ่งออกได้เป็น 2 ลักษณะ คือ ใช้ในระดับปกติ และใช้เกินปกติ แต่ผลทางด้านจิตใจทางการแพทย์ถือว่า อาการติดโทรศัพท์มือถือที่กำลังฮิตในหมู่ดาราไฮโซ เซเลบริตี้ และกำลังเริ่มฮิตในกลุ่มวัยรุ่นขณะนี้ เป็นอาการเดียวกับการติดอินเทอร์เน็ตหรือติดสารเสพติด เรียกว่า โรค "Addiction" หรือ "การติดเป็นนิสัย" คือใช้เทคโนโลยีจนเกินไป หมกมุ่นมากไป ถ้าไม่ได้ใช้แล้วห่วงหา ซึ่งมีส่งผลกระทบต่อร่างกายและจิตใจในเชิงลบ เหมือนการเสพติดอย่างหนึ่ง

นพ.ทวีศิลป์ กล่าวว่า การใช้บีบีเป็นวิธีการสื่อสารแบบการส่งข้อความ SMS ซึ่งสะดวกกว่าการใช้คอมพิวเตอร์พูดคุยหรือที่เรียกว่าแช้ต (Chat ) ผ่านระบบเอ็มเอสเอ็น (MSN) ซึ่งต้องทำเฉพาะกับเครื่องคอมพิวเตอร์ แต่การใช้โทรศัพท์มือถือจะสามารถทำได้ทุกสถานที่ทุกเวลา

นอกจากนี้ การใช้เทคโนโลยีลักษณะนี้มากเกินไปจะทำให้ความเป็นส่วนตัวน้อยลง ไม่ได้อยู่กับตัวเอง หรือมีสมาธิกับการทำงานน้อยลง และเกิดความคาดหวังแบบอุปโลกน์ ซึ่งผู้ใช้ต้องระมัดระวังการใช้ ควรใช้ให้พอเหมาะและมีขอบเขต ไม่เช่นนั้นจะเกิดผลกระทบ คือ

1.มีผลต่อสุขภาพ กิจวัตรประจำวันเปลี่ยนแปลง

2.สูญเสียสัมพันธภาพของคนใกล้ตัวเพราะมัวแต่แช้ตผ่านโทรศัพท์มือถือ แต่ไม่ได้คุยกับพ่อแม่ แฟน ญาติพี่น้อง เพื่อนร่วมงาน หรือถ้าส่งข้อความไป แต่อีกฝ่ายไม่ตอบกลับก็เกิดอาการคาดหวังที่มีกันมาก คือ ความคาดหวังแบบอุปโลกน์ และอาจเป็นการรบกวนความเป็นส่วนตัวของผู้อื่นโดยไม่รู้ตัว

และ 3.กระทบต่อหน้าที่การงาน ไม่มีสมาธิตั้งใจทำงานเท่าเดิม

"จากข้อมูลที่มีการสำรวจพบว่าวัยรุ่น รร.ระดับมัธยมของรัฐแห่งหนึ่ง พบว่า ร้อยละ 90 เด็กใน รร.มีโทรศัพท์มือถือใช้ แต่เทคโนโลยีก้าวหน้าพ่อแม่ยิ่งต้องรู้ให้เท่าทัน ไม่อย่างนั้นเราก็ไม่รู้ว่าเด็กคิดอะไรอยู่ และเด็กไทยจะสมาธิสั้นมากขึ้น"


อ้างอิงไทยโพสต์

เผยสถิติคนไทยตายเพราะ โรคมะเร็ง มากที่สุด


มะเร็งครองแชมป์สาเหตุการตายมากที่สุด ส่วนโรคที่คนป่วยไม่อยากนอนโรงพยาบาลมากที่สุด คือ ระบบทางเดินหายใจ ระบบไหลเวียนเลือด ส่วนโรคที่ป่วยมากสุด คือ ความดันฯ เบาหวาน...

เมื่อวันที่ 23 ก.พ. นพ.ไพจิตร์ วราชิต ปลัดกระทรวงสาธารณสุข กล่าวภายหลังเป็นประธานในพิธีมอบประกาศนียบัตรผู้สอบผ่านการรับรองมาตรฐานคุณภาพ ผู้ใช้รหัสโรคระดับกลางของกระทรวงสาธารณสุข ประจำปี 2552 ว่า กระทรวงสาธารณสุขได้เร่งพัฒนาคุณภาพมาตรฐานของเจ้าหน้าที่เก็บบันทึกข้อมูล สาเหตุการป่วยการตายของประชาชนในโรงพยาบาลทุกแห่ง ทั้งภาครัฐและเอกชน

ปลัดกระทรวงสาธารณสุข กล่าวต่อว่า ข้อมูลดังกล่าวมีความสำคัญมาก ต่อการพัฒนาระบบสาธารณสุขของไทย และระดับโลก ในการนำมาใช้เพื่อวางแผนในการป้องกันเฝ้าระวังโรค และดูแลสุขภาพของประชาชนได้อย่างถูกต้อง มีประสิทธิภาพ โดยได้จัดทำโครงการพัฒนาคุณภาพผู้ลงรหัสโรค และขึ้นทะเบียนรับรองมาตรฐานผู้ลงรหัสโรค ให้เป็นมาตรฐานเดียวกันทั่วประเทศ ขณะนี้ประเทศไทยมีผู้สอบผ่านแล้ว 514 คน

ด้าน นพ.ศุภกิจ ศิริลักษณ์ ผู้อำนวยการสำนักนโยบายและยุทธศาสตร์ กล่าวว่า กระทรวงสาธารณสุขมีเจ้าหน้าที่ปฏิบัติงานด้านการลงรหัสโรคผู้ป่วยมากกว่า 1,500 คน โดยในการรวบรวมวิเคราะห์จำนวน และสาเหตุการป่วยและการเสียชีวิตทั่วประเทศ นั้น มีรหัสแยกรายโรครวมกว่า 30,000 รหัส ซึ่งในปี 2552 มีผู้ป่วยใช้บริการตรวจรักษาที่แผนกผู้ป่วยนอก 190 ล้านครั้ง เฉลี่ยคนไทยป่วย 2.98 ครั้งต่อคน มีผู้ป่วยที่ต้องนอนรักษาในโรงพยาบาล 13 ล้านครั้ง โดยเฉพาะในปี 2551 ทั่วประเทศมีผู้เสียชีวิตทั้งหมด 397,327 คน

ส่วนการจำแนกสาเหตุการป่วยและเสียชีวิตนั้น กระทรวงสาธารณสุขได้จัดทำรายงานตามบัญชีจำแนกโรคระหว่างประเทศซึ่งใช้เหมือนกันทั่วโลก สาเหตุหลักที่คนไทยตายมากที่สุด ได้แก่ มะเร็ง จำนวน 55,403 คนส่วนสาเหตุการป่วยที่ไม่ต้องนอนโรงพยาบาลที่พบมากที่สุด ได้แก่ โรคทางเดินหายใจ เช่น ไข้หวัด หลอดลมอักเสบ รองลงมาคือระบบไหลเวียนเลือด และระบบย่อยอาหาร ส่วนผู้ป่วยใน สาเหตุการป่วยอันดับ 1 ได้แก่ ความผิดปกติต่อมไร้ท่อ โภชนาการ ความดันโลหิตสูง และเบาหวาน


ข้อมูลจากไทยรัฐ

ผู้หญิงฮิตเจาะ....แฟชั่นเสี่ยงภัย


ละเลยความสะอาดเพิ่มโอกาสติดเชื้อ

แฟชั่นการเจาะเริ่มต้นจากความสวยความงามของผู้หญิงเรา ที่มีมาตั้งแต่สมัยโบราณ นิยมเจาะหูไว้ส่วมใส่เครื่องประดับประเภทต่างหู แต่ในปัจจุบัน"วัยรุนหญิงยุคใหม่" ทั้งไทยและต่างประเทศกลับนิยมหันมาเจาะอวัยวะส่วนต่าง ๆ ของร่างกายเป็นกระแสแฟชั่น

จากผลสำรวจวัยรุ่นอเมริกายุคใหม่ พบ นักเรียนหรือนักศึกษาวัยรุ่นนิยมเจาะลิ้น เจาะปาก เจาะสะดือ เจาะใบหูตอนบน แถมเจาะร่างกายส่วนอื่น ๆ กันมากขึ้น เพราะรู้สึกดีเวลาอยู่ในกลุ่มของเพื่อนฝูงที่เจาะร่างกายมาเหมือน ๆ กัน พวกเขารู้สึกว่าเป็นแฟชั่นเก๋มากกว่าแค่การเจาะติ่งหู

โดยพฤติกรรรมการใช้บริการเจาะ ขึ้นอยู่กับแรงจูงใจที่ส่วนมากทำตามกลุ่มเพื่อน เลือกใช้บริการเจาะหูตามร้านค้าที่เปิดให้บริการ ที่แต่ละร้านมีกลยุทธ์เรียกลูกค้าด้วยวิธีการเสนอเจาะให้ฟรี แต่มีข้อแม้ต้องซื้อต่างหูหรืออุปกรณ์ขยายรูหูที่ร้านเสียก่อน ซึ่งสาว ๆ ส่วนมากมักเริ่มที่อวัยวะส่วน "หู" เจาะ ผ่านกระดูกอ่อนเป็นช่องบริเวณใบหูด้านบนและติ่งหู ขนาดรูจะเล็กหรือใหญ่ขึ้นอยู่การเลือกขนาดต่างหูที่ต้องการใส่ เป็นที่มาของการระเบิดหูในกลุ่มวัยรุ่น ที่ปัจจุบันหันมานิยมเจาะหูให้มีรูใหญ่กว่าปกติ จนเป็นที่น่าพอใจแล้วจึงใส่ตุ้มหูที่ต้องการ

เท่านั้นยังไม่พอ!! กระแสแฟชั่นฮิตเจาะยังรุกลามไปยังอวัยวะส่วนอื่นของร่างกาย ไม่ว่าจะเป็นการเจาะลิ้น ปาก คิ้ว สะดือ หัวนม ไม่เว้นแม้แต่จุดลับของผู้หญิง โดยแผลบริเวณหัวนมและสะดือ รวมไปถึงอวัยวะเพศหญิงนี้จะหายช้ากว่าส่วนอื่น เนื่องจากการเคลื่อนไหวเสียดสีกับเสื้อผ้า ทำให้เกิดการอักเสบและอับชื้นจากเครื่องประดับที่ใส่ไว้ สำหรับการเจาะผิวหนังในช่องปากจะมีเลือดออกมากโดยเฉพาะบริเวณลิ้น ถ้าเจาะถูกหลอดเลือดขนาดใหญ่จะยิ่งทำให้สูญเสียเลือดมากขึ้นด้วย

นอกจากนี้…การเจาะลิ้นยังทำให้เกิดเลือดคั่งหลังเจาะ บางครั้งแผลบวมเจ็บปวดมากทำให้รับประทานอาหารไม่สะดวก น้ำลายออกมาก การดูแลแผลจะยุ่งยากเกิดปัญหาระยะยาว คือเครื่องประดับที่ใส่ลิ้นจะกระทบกับฟัน ทำให้ฟันสึกบิ่นหรือหัก บางรายอาจทำให้รากฟันตาย อีกทั้งการใส่ตุ้มประดับในช่องปาก ยังเป็นที่หมักหมมของเศษอาหารทำให้เกิดการอักเสบ มีกลิ่นปาก พูดไม่ชัด เกิดปัญหาในการสื่อสารกับผู้อื่น สิ่งเหล่านี้เป็นสาเหตุให้เกิดการติดเชื้อในช่องปาก ที่พบสูงกว่าการเจาะผิวหนังบริเวณอื่น

ผลเสียของการเจาะหูก็มีเช่นกัน จำได้ว่าสมัยที่ยังเป็นนักเรียน เพื่อน ๆ หลายคนชอบเจาะหูกันเอง โดยใช้น้ำแข็งมาแปะที่หูให้ชา ไม่ก็ใช้ยาหม่องนวดจนร้อน แล้วใช้ต่างหูเงินเช็ดแอลกอฮอล์จิ้มเข้าไปในหู มีบางคนใช้เข็มเย็บผ้าร้อยด้าย เป็นอุปกรณ์เจาะหูแล้วปล่อยด้ายทิ้งคารูเจาะไว้ จากนั้นไม่นานเพื่อนสาวร่วมห้อง ก็มีอาการแผลอักเสบและน้ำเหลืองไหล สุดท้ายทนไม่ไหวต้องไปพบแพทย์ในที่สุด

สอดรับกับสมาคมแพทย์อเมริกัน ที่ออกมาเตือนวัยรุ่นฮิตเจาะทั้งหลายว่า การเจาะหูที่ทำโดยบุคคลที่ไม่มีความรู้ความชำนาญทางด้านการแพทย์ อาจทำให้เกิดโรคแทรกซ้อนตามมาได้ เพราะถ้าเครื่องมืออุปกรณ์ในการเจาะไม่สะอาดพอ อาจทำให้เกิดโรคแทรกซ้อนและติดเชื้อโรคที่ติดต่อทางเลือดได้

เริ่มตั้งแต่ "โรคตับอักเสบ" ผลจากการใช้เข็มร่วมกันเสี่ยงรับเชื้อไวรัสตับอักเสบ บี และซี เป็นสาเหตุทำให้เกิดโรค ผู้ป่วยจะมีอาการเจ็บแน่นบริเวณตับ อ่อนเพลีย เบื่ออาหาร เหนื่อยง่าย บางรายมีไข้ต่ำ ๆ คลื่นใส้ และอาเจียน บางรายตัวเหลื่อง ตาเหลือง โดยโรคตับอักเสบ ต้องอาศัยการตรวจเลือดเพื่อดูอาการของตับ เพื่อให้ทราบถึงตัวเชื้อต้นเหตุ

ตามมาด้วย "โรคเอดส์" โรคร้ายทำร้ายคุณภาพชีวิต ผลจากการได้รับเชื้อไวรัสเอชไอวีที่ติดมากับอุปกรณ์เจาะ ทำให้สุขภาพร่างกายอ่อนแอและมีโอกาสเป็นโรคภัยอื่น ๆ ตามมา เช่น โรคมะเร็งมะเร็งหลอดเลือด เป็นต้น

มีข้อควรระวัง!!..สำหรับผู้หญิงบางประเภทที่ไม่ควรเจาะผิวหนัง เช่น ผู้ที่เป็นโรคโลหิตไหลไม่หยุดหรือที่เรียกว่าฮีโมฟีเลีย (Hemophilia) โรค ภูมิแพ้ผิวหนังและพุพอง โรคลิ้นหัวใจพิการ และผู้ที่แพ้เครื่องประดับที่เป็นโลหะโดยเฉพาะโลหะนิเกิล ย่อมเป็นอันตรายต่อสุขภาพได้ง่าย

รู้อย่างนี้แล้วสาว ๆ ที่คิดจะไปเจาะตามแฟชั่นสมัยนิยม ขอแนะนำว่าควรหลีกเลี่ยงทำสิ่งอื่นใด ๆ บริเวณอวัยวะส่วนต่าง ๆ ของร่างกายจะดีที่สุดเพื่อความปลอดภัยในชีวิต แต่หากต้องการใส่ต่างหูประดับความสวยงามแบบลูกผู้หญิง แค่เจาะหูเพียงอย่างเดียวก็เติมเสน่ห์ให้ผู้หญิงอย่างเราได้แล้ว

แต่หากสาว ๆ คนไหนที่ยังคิดจะเจาะหู ควรเตือนตัวเองไว้ เลือกผู้ที่ชำนาญหรือแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเป็นผู้เจาะให้จะดีกว่า ถ้าไม่ยากได้ของแถมเป็นเชื้อโรคติดมือกลับมาบ้าน รบกวนสุขภาพของคุณในภายหลัง.....


ข้อมูลจาก สสส

อย่าไว้ใจทาง อย่าวางใจพรม


อย่าไว้ใจทาง อย่าวางใจพรม (ชีวจิต)

เวลาที่เจ็บป่วยเล็ก ๆ น้อย เรามักจะมองข้ามและไม่เคยคิดกันว่า ผลิตภัณฑ์เครื่องใช้ในบ้านจะเป็นตัวการสำคัญ ทั้ง ๆ ที่ของใช้และส่วนผสมในของใช้หลายอย่าง อาทิ กาวยึดไม้และผลิตภัณฑ์พลาสติก ในตู้ เตียง พาร์ติเคิลบอร์ด สีทาบ้าน ฉนวนกันความร้อนบุผนัง ก่อให้เกิดอันตรายต่อร่างกายในระดับรุนแรงได้ทั้งสิ้น

พรมปูพื้นสังเคราะห์และวอลลเปเปอร์ติดผนัง เป็นหนึ่งในแหล่งปลดปล่อยสารพิษในอันดับต้น ๆ ภายในบ้าน เพราะมักมีส่วนผสมของฟอร์มัลดิไฮด์ ที่จะปล่อยไอระเหยออกมา ทำความระคายเคืองผิวให้เป็นผื่นแดง และระบบทางเดินหายใจ ทำให้เกิดอาการคลื่นไส้ วิงเวียน ภูมิแพ้ หอบหืด แน่นหน้าอก ปวดศีรษะ อ่อนเพลีย

จากผลการทดลองพบว่า ฟอร์มัลดิไฮด์สามารถก่อให้เกิดมะเร็งในสัตว์ทดลองได้ ซึ่งนั่นก็อาจก่อให้เกิดมะเร็งในคนเราได้เช่นเดียวกัน เพียงแต่ขึ้นอยู่กับปริมาณการได้รับรวมถึงระยะเวลาที่ได้รับสารระเหยของแต่ละคน ซึ่งบ้านที่น่าเป็นห่วงที่สุดคือบ้านที่เปิดเครื่องปรับอากาศตลอดเวลาโดยที่ไม่เคยเปิดหน้าต่างระบายอากาศเลย

นอกจากนี้ เชื้อรา และฝุ่นละอองที่อาศัยอยู่ในพรมอาจไม่ทำให้คุณเจ็บป่วยในทันที แต่ก็ทำให้ภูมิชีวิตตกต่ำลงจนร่างกายอ่อนแอ (และป่วย) ในที่สุด

ดังนั้น เพื่อสุขภาพที่ดี การหลีกเลี่ยงที่จะปูพรมในบ้านจึงเป็นทางเลือกที่ดีที่สุด แต่หากว่าปูพรมอยู่แล้ว การทำความสะอาดและการเอาใจใส่ที่มากขึ้นก็อาจช่วยบรรเทาปัญหาได้

เปิดประตูและหน้าต่างห้องที่ปูพรมให้บ่อยที่สุดเท่าที่จะทำได้ หรือเปิดพัดลมเป่าลมออกไปนอกห้อง โดยเฉพาะในช่วงสองเดือนแรกที่ติดตั้งใหม่ เพื่อให้กลิ่นของสารระเหยจางลงมากที่สุด

ดูดฝุ่นจากพรมให้บ่อยและเป็นประจำสม่ำเสมอ เพื่อรักษาความสะอาดและตัดวงจรการเจริญเติบโตของเชื้อรา ซึ่งการลากเครื่องดูดฝุ่นไปมาแบบเร็วๆไม่ใช่การดูดฝุ่นที่ถูกวิธี เพราะนั่นเป็นแค่การนำเอาฝุ่นออกมาจากพรมให้กระจายอยู่ในห้องเท่านั้น แต่การดูดฝุ่นที่ถูกต้อง ควรลากเครื่องไปอย่างช้าๆและอยู่ในแต่ละจุดให้นานขึ้นเพื่อให้ฝุ่นหลุดออกมาได้ทั้งหมด

หากเป็นพรมชนิดที่เคลื่อนย้ายได้ ควรนำออกไปผึ่งแดดอย่างน้อยเดือนละ 2 ครั้ง


ข้อมูลจากชีวจิต

Fresh กับงาน จนต้องร้อง Wow!


Fresh กับงาน จนต้องร้อง Wow! (สุดสัปดาห์)

Career woman คนใดที่ต้องใช้เครื่องดื่มผสมกาเฟอีน คอยปลุกให้ตื่นตัวเวลามึนตึ้บกับงาน คงดีใจถ้ารู้ว่าต่อจากนี้ชีวิตจะมีทางเลือกใหม่ ใช้เรียกความกระปรี้กระเปร่า ระหว่างทำงานแบบปลอดสารกาเฟอีนได้ชะงัด

เปลี่ยนบรรยากาศกันดีกว่า

ปรับแสงอีกนิด สาเหตุสำคัญของอาการง่วงหงอย ก็คือบริเวณโต๊ะทำงานอันดูอึมครึมนี่แหละ ปรับมู่ลี่หรือม่านบังแดดออกรับแสงสว่างจากธรรมชาติเสียบ้าง เพราะร่างกายของเราจะตื่นตัวในที่ที่มีแสงสว่างเพียงพอ

กลิ่นบำบัด ผลการวิจัยของศาสตราจารย์เกย์ ไคล์ (Gaye Kyle) แห่งมหาวิทยาลัย Thames Valley University ประเทศอังกฤษพบว่า กลิ่นน้ำมันหอมระเหยของดอกลาเวนเดอร์ จะช่วยผ่อนคลายความตึงเครียดและช่วยให้ มีสมาธิในการทำงานมากยิ่งขึ้น

ลุยงานหนัก...แต่ไม่ยักเครียด

เริ่มต้นด้วยงานยากที่สุดของวันก่อน เพราะในช่วงเช้าสมองจะโปร่งโล่ง พร้อมรับงานที่มีรายละเอียดซับซ้อนได้ดีกว่า ช่วงบ่าย และเมื่องานนั้นเสร็จ คุณก็จะได้สะสางงานอื่น ๆ ในช่วงสายของวันแบบไม่กดดัน

ช่วยผู้อื่นเพิ่มความสุข จูดิธ ออร์ลอฟฟ์ นักจิตวิทยาในแอลเอและเจ้าของหนังสือ "Positive Energy: 10 Extraordinary Prescriptions for Transforming Fatigue, Stress, and Fear into Vibrance, Strength, and Love" ระบุว่า การอาสาทำงานแทนเพื่อนบางโอกาส โดยเฉพาะในงานที่คุณไม่เคยทำมาก่อน และต้องใส่ใจมากเป็นพิเศษ จะทำให้คุณรู้สึกตื่นเต้นประหนึ่งเพิ่งเริ่มงานใหม่ ที่สำคัญ ช่วยแก้เบื่อได้ชะงัดนัก (แต่แน่นอนว่าต้องไม่ส่งผลกระทบต่องานของคุณด้วยนะ)

เคี้ยว - กลืนเรียกพลัง

เมนูสโนไวท์ ในแอปเปิ้ลมีน้ำตาลโมเลกุลเดี่ยวสูง ช่วยกระตุ้นความสดชื่นให้ร่างกาย แถมยังย่อยง่าย ร่างกายจึงสามารถดึงพลังงานออกไปใช้ได้แบบไม่ต้องรอ

ถั่วชูกำลัง จะถั่วไฮโซหรือโลโซก็เป็นแหล่งสะสมโปรตีนชั้นเลิศทั้งสิ้น ว่ากันว่าช่วยเพิ่มพลังงานในร่างกายได้ดีสุด ๆ

เครื่องดื่มถ้วยโปรด ดื่มชาเขียวก่อนมื้อเที่ยง จะทำให้ร่างกายหลั่งน้ำย่อยและระบบย่อยอาหารมีประสิทธิภาพขึ้น ช่วยให้ไม่รู้สึกอึดอัดในตอนบ่าย


สาวสุดสัปดาห์สนใจวิธีไหนก็เชิญเลือกใช้ได้เลย งานนี้ไม่สงวนลิขสิทธิ์แต่อย่างใด

อ้างอิงจากสุดสัปดาห์

แก้ไอโดยไม่ใช้ยา


แก้อาการไอโดยไม่ใช้ยา (Woman's Story)

เมื่อเป็นหวัด อาการหนึ่งที่มักตามมาคือ อาการไอ วันนี้เรามีวิธีการแก้อาการไอ โดยที่ไม่ต้องใช้ยามาแนะนำกันค่ะ ไปติดตามกันเลย...

อาการไอ นั้นถูกแบ่งออกเป็น 2 ชนิด ได้แก่ ไอฉับพลัน ซึ่งจะมีอาการไอไม่เกิน 3 สัปดาห์ ส่วนใหญ่มักเกิดจากการติดเชื้อในระบบทางเดินหายใจส่วนบน เช่น หวัด หลอดลมอักเสบ หรือสูดสิ่งแปลกปลอมเข้าไปในหลอดลม เช่น ควันบุหรี่ แก๊ส หรือสีสเปรย์ อีกชนิดหนึ่ง เรียกว่า ไอเรื้อรัง อาการไอนี้จะนานกว่า 3 สัปดาห์ ขึ้นไป อาจเกิดจากโรคหลอดลมอักเสบเรื้อรัง การใช้ยาความดันโลหิตสูงบางชนิดต่อเนื่อง โรคไซนัสอักเสบเรื้อรัง หรือโรควัณโรค เป็นต้น

เมื่อเริ่มมีอาการไอ ให้ลองหาน้ำเปล่า ไม่ควรเป็นน้ำเย็นหรือร้อน ควรเป็นน้ำธรรมดา หรือน้ำอุ่น นำมาดื่มบ่อย ๆ จะช่วยให้ชุ่มคอ หรือใครจะลองนำน้ำมะนาวมาผสมกับน้ำผึ้ง จิบบ่อย ๆ ก็สามารถช่วยลดอาการไอได้ดีไม่น้อย

นอกจากนั้น ระหว่างที่มีอาการไอ ควรหลีกเลี่ยงการอยู่ในห้องที่มีอุณหภูมิต่ำ หรืออากาศเย็น หากเลี่ยงไม่ได้ให้ทำร่างกายให้อบอุ่น งดรับประทานไอศกรีม เลี่ยงการดื่มและอาบน้ำเย็น งดสูบบุหรี่หรือสูดดมควันบุหรี่ และงดอาหารทอดน้ำมัน

อย่างไรก็ตาม หากอาการไอเรื้อรังไม่ดีขึ้น ก็ควรปรึกษาแพทย์จะดีที่สุด เพื่อหาสาเหตุของโรคที่แท้จริง จะได้ทำการรักษาได้ถูกโรค และทันท่วงที หมั่นดูแลรักษาสุขภาพให้แข็งแรงอยู่เสมอ ก็จะไม่มีโรคภัยมาเบียดเบียนค่ะ

อ้างอิงwoman

อาหาร5หมู่คุณรู้ดีแค่ไหน


อาหารหลัก 5 หมู่...คุณรู้ดีแค่ไหน (สสส.)



มีแรงจูงใจ 2 ประการที่จำเป็นจะต้องนำอาหารหลัก 5 หมู่ มาทบทวนตอกย้ำ ทั้งที่ทราบดีว่าคนไทยส่วนมากรู้จักมักคุ้นอยู่แล้ว แต่มีคนจำนวนไม่น้อยที่พอพูดถึงอาหารหลัก 5 หมู่ มักจะบอกเป็นสารอาหาร 5 ชนิด แทนการบอกชนิดของอาหาร ซึ่งแม้ว่าจะไม่ใช่ประเด็นที่สำคัญมากนัก แต่อยากจะให้คนไทยได้มีความเข้าใจที่ตรงกัน
อีกประการหนึ่ง อาจจะดูเป็นเรื่องตลกแต่สะท้อนใจให้เห็นอะไรบางอย่าง เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นนานมาแล้ว
ที่หมู่บ้านชนบทแห่งหนึ่งมีนักวิชาการไปสอนใช้ชาวบ้าน กินอาหารให้ครบ 5 หมู่ อธิบายอย่างยืดยาวแล้วบอกชาวบ้านว่า เดือนหน้าจะมาเพื่อติดตามดูว่า ชาวบ้านกินครบ 5 หมู่หรือไม่ พอครบหนึ่งเดือนนักวิชาการกลับมายังหมู่บ้านแห่งนั้น เริ่มด้วยการถามคุณยายคำ อายุ 70 ปี ว่ากินอาหารครบ 5 หมู่ไหม ยายคำตอบชัดถ้อยชัดคำว่าเพิ่งกินได้แค่ 5 หมู่เอง หมู่ที่ 5 ยังไม่ได้กิน นักวิชาการถามกลับไปว่าเพราะเหตุใด ยายคำตะโกนก้องว่าหมู่ 5 อยู่ไกลมากเดินไปกินไม่ไหวยายคำคิดว่านักวิชาการบอกให้กินเป็นรายหมู่บ้าน เรื่องนี้น่าจะเกิดการผิดพลาดแน่นอน หากนักวิชาการมีวิธีการสื่อสารที่มีประสิทธิภาพกับชาวบ้ส่วนความสับสนระหว่างการเรียกชื่ออาหารให้ครบ 5 หมู่ กับเรียกสารอาหาร 5 ชนิด แทนนั้นจะขอทบทวนให้เข้าใจตรงกันดัง
หมู่ที่ 1 เรียกว่า นม ไข่ เนื้อสัตว์ต่างๆ ถั่วเมล็ดแห้ง และงานให้สารอาหารโปรตีน ช่วยให้ร่างกายเจริญเติบโต และซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอ

หมู่ที่ 2 เรียกว่า ข้าว แป้ง เผือก มัน น้ำตาล ให้สารอาหารคาร์โบไฮเดรต เพื่อให้พลังงานแก่ร่างกาย
หมู่ที่ 3 เรียกว่า พืชผักต่างๆ ให้สารอาหารวิตามินและแร่ธาตุเพื่อเสริมสร้างการทำงานของร่างกายให้ปกติ
หมู่ที่ 4 เรียกว่า ผลไม้ต่างๆ ให้สารอาหารและประโยชน์เหมือนหมู่ที่ 3
หมู่ที่ 5 เรียกว่า น้ำมันและไขมันจากพืชและสัตว์ ให้สารอาหารไขมันเพื่อให้พลังงานและความอบอุ่นแก่ร่างกาย

ต่อไปนี้เราไม่ควรเรียก อาหารหมู่ 1 โปรตีน หมู่ 2 คาร์โบไฮเดรต หมู่ 3 วิตามิน หมู่ 4 แร่ธาตุ หมู่ 5 ไขมัน อีกต่อไปแล้ว ควรเรียกชื่ออาหารแทน
เหตุผลที่กำหนดอาหารหลัก 5 หมู่ขึ้นก็เพื่อที่จะให้คนไทยกินอาหารให้ได้สารอาหาร ครบ 5 ชนิด โดยนำเอาอาหารที่มีสารอาหารเหมือนกันมาไว้ในหมู่เดียวกัน แต่ร่างกายของคนเราต้องการสารอาหารให้ครบทั้ง 5 ชนิดในแต่ละวัน ดังนั้น เราจึงต้องกินอาหารให้ครบ 5 หมู่ทุกวัน เพราะไม่มีอาหารชนิดในชนิดหนึ่งที่จะให้สารอาหารครบทั้ง 5 ชนิด

ข้อมูลจาก สสส

อันตรายจากเครื่องหุงต้ม


อันตรายจากภาชนะหุงต้ม ในครัว (Health&Cuisine)

ในยุคที่ผู้คนตื่นตัวในเรื่องของสุขภาพ สิ่งหนึ่งที่ทำให้คนเราหวาดผวากันมากคือ สารพิษปนเปื้อนที่มากับอาหาร แต่สารพิษส่วนหนึ่งที่เราได้รับ อาจเกิดขึ้นจากภาชนะในครัวเรือนที่ใช้กันอยู่ทุกวัน

เมื่อหลายปีที่แล้วนักวิจัยได้เตือนผู้บริโภคว่า อะลูมิเนียมอาจมีส่วนที่ทำให้เกิดโรคสมองเสื่อมอัลไซเมอร์ ทำให้ผู้บริโภคพากันโยนหม้อ กระทะที่ทำจากอะลูมิเนียมทิ้งเป็นจำนวนมาก แต่ข้อมูลการวิจัยในปัจจุบันพบว่า อะลูมิเนียมที่ละลายออกมาปนในอาหารมีปริมาณเพียงเล็กน้อย ซึ่งไม่ก่อให้เกิดอันตรายต่อสุขภาพ ดังนั้นการใช้ภาชนะอะลูมิเนียมหุงต้มอาหารจึงค่อนข้างปลอดภัย

ภาชนะที่ทำจากสเตนเลส เป็นภาชนะที่นิยมใช้รองลงมา สเตนเลสมีส่วนผสมของโลหะหลายชนิด เช่น นิกเกิล โครเมียม เหล็ก และโมลิบเดนัม จากการวิจัยพบว่าภาชนะเครื่องครัวที่ทำจากสเตนเลส อาจให้ประโยชน์ต่อร่างกาย เพราะสเตนเลสมีส่วนผสมของโครเมียมและธาตุเหล็ก ซึ่งเป็นแร่ธาตุที่จำเป็นต่อร่างกาย เมื่อนำมาใช้หุงต้มก็จะมีธาตุเหล่านั้นออกมาปะปนในอาหารเพียงเล็กน้อย จึงไม่เป็นอันตรายต่อร่างกาย แต่กลับให้ประโยชน์ต่อผู้ที่ขาดโครเมียมและธาตุเหล็ก

แต่ขณะเดียวกัน สารนิกเกิลอาจเป็นสาเหตุทำให้เกิดอาการของผิวหนังได้ ในผู้ที่แพ้นิกเกิล อย่างไรก็ตาม นิกเกิลจะละลายออกมาในอาหารที่เครื่องปรุงมีฤทธิ์เป็นกรด เช่น การใช้น้ำส้มสายชูหรือซอสมะเขือเทศ สำหรับคนที่มีอาการแพ้สารนิกเกิล ก็อาจจะเลือกใช้ภาชนะสเตนเลสที่เคลือบสารอีนาเมลซึ่งเป็นสารเคมีที่ไม่ก่อให้เกิดปฏิกิริยากับอาหารที่มีฤทธิ์เป็นกรด

ภาชนะที่ทำมาจากทองแดง ตอบสนองต่อความร้อนได้ดี แต่ถ้านำมาปรุงอาหารที่มีฤทธิ์เป็นกรดจะสามารถละลายทองแดงออกมาได้ ทองแดงจะเป็นธาตุที่สำคัญต่อร่างกายในการช่วยสร้างเม็ดเลือดแดง การได้รับทองแดงในปริมาณเล็กน้อยไม่ได้ก่อให้เกิดปัญหาต่อสุขภาพ แต่ถ้าร่างกายได้รับการสะสมทองแดงในปริมาณมากเกินระดับที่ควรมีในเลือด จะทำให้เกิดอาการท้องเสียและอาเจียนจากทองแดงเป็นพิษได้ เพื่อป้องกันปัญหานี้ภาชนะที่ทำจากทองแดง จึงได้รับวิวัฒนาการขึ้นมาด้วยการเคลือบดีบุก แต่ดีบุกที่เคลือบไว้ก็จะมีการเสื่อมไปตามอายุการใช้งาน ฉะนั้นเมื่อใช้ไปนาน ๆ ก็ควรจะมีการเปลี่ยนใหม่

ภาชนะที่เคลือบสารเทฟลอน สารชนิดนี้ช่วยป้องกันการติดของอาหาร ทั้งยังทำความสะอาดง่าย และช่วยลดปริมาณไขมันในการปรุงอาหารได้ด้วย เพราะภาชนะหากไม่เคลือบเทฟลอนจะต้องใช้น้ำมันมากขึ้นเวลาผัดหรือทอด เพื่อไม่ให้อาหารติดกระทะ อนึ่งหากมีการลอกหลุดของสารที่เคลือบปะปนกับอาหาร ก็จะไม่เกิดอันตรายต่อผู้บริโภค เนื่องจากเป็นสารที่ไม่เป็นพิษ ร่างกายไม่สามารถดูดซึมเข้าไปได้และจะถูกขับถ่ายออกมา

ภาชนะเซรามิก ภาชนะชนิดนี้มีส่วนผสมของสารตะกั่วอยู่ หากมีอยู่ในปริมาณที่มากเกินไปจะเป็นอันตรายได้ เมื่อนำไปใส่อาหารโดยเฉพาะอย่างยิ่งอาหารที่มีฤทธิ์เป็นกรด รวมทั้งมีข้อเตือนว่าไม่ควรใช้ภาชนะประเภทนี้กับกาแฟร้อน ชาร้อน ซุปมะเขือเทศ และน้ำผลไม้เพราะจะทำให้สารตะกั่วละลายออกมาได้

สารตะกั่วเป็นอันตรายต่ออวัยวะและระบบต่าง ๆ ของร่างกาย เช่น ตับ ไต ระบบสืบพันธุ์ ระบบหมุนเวียนโลหิตหัวใจ ระบบภูมิต้านทาน และระบบย่อยอาหาร สารตะกั่วจะถูกดูดซึมเข้าไปสะสมอยู่ในอวัยวะต่าง ๆ โดยเฉพาะในกระดูกจะสะสมปนกับแคลเซียม เพราะร่างกายไม่สามารถจะแยกระหว่างสารตะกั่วและแคลเซียมได้ ถ้าสารตะกั่วสะสมในปริมาณมากจะทำให้เกิดพิษได้ ถ้าเกิดขึ้นในเด็กสารตะกั่วจะทำลายเซลล์สมอง ทำให้สมรรถภาพในการเรียนรู้เสียไป ยับยั้งการเจริญเติบโตทำให้ร่างกายแคระแกรน และตายในที่สุด

ฉะนั้น เพื่อความปลอดภัยโดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับหญิงตั้งครรภ์ ไม่ควรใช้ภาชนะเซรามิกบรรจุเก็บรักษาอาหาร หรือแม้กระทั่งเครื่องดื่มในชีวิตประจำวัน

ข้อแนะนำเพื่อความปลอดภัยในการใช้ภาชนะ

หลีกเลี่ยงการเก็บรักษาอาหารเป็นเวลานาน ๆ ในภาชนะหุงต้ม เมื่อปรุงอาหารเสร็จแล้ว อาหารที่เหลือควรเก็บไว้ในภาชนะพลาสติกหรือภาชนะที่ทำด้วยแก้ว

ทำความสะอาดภาชนะตามคำแนะนำของผู้ผลิต หลีกเลี่ยงการขัดถูที่จะทำให้ผิวหน้าของภาชนะถลอกหรือหลุดลอก

พลาสติกในครัวเรือนปลอดภัยเพียงใด ?

สารเคมีที่สลายจากพลาสติกสามารถผ่านเข้าไปในอาหารได้ ไม่ว่าจะถูกความร้อนหรือไม่ แต่ความร้อนและแสงจะเร่งกระบวนการให้เกิดเร็วขึ้น คำถามที่ตามมาคือ สิ่งเหล่านั้นก่อให้เกิดปัญหาสุขภาพในอนาคตได้หรือไม่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งสารประเภทที่ทำลายฮอร์โมน สารประเภทนี้จะรบกวนหรือยับยั้งการทำงานของฮอร์โมนธรรมชาติในร่างกาย ลดปริมาณอสุจิ ทำให้เด็กเป็นสาวเร็วกว่าอายุที่ควรและเพิ่มความเสี่ยงของโรคมะเร็ง

พลาสติกที่สลายตัวสามารถที่จะผ่านเข้าไปปะปนกับอาหาร พบได้มากในภาชนะใช้ใส่อาหารซื้อกลับบ้าน อาหารที่บรรจุในภาชนะประเภทนี้เป็นเวลานาน จะมีกลิ่นและรสของพลาสติกชนิดนี้ติดมาด้วย

อาหารประเภทที่เป็นกรด จะดูดซึมสารพลาสติกได้ดีกว่าอาหารชนิดที่เป็นด่างหรือกรดต่ำ ความร้อนสูง ๆ เช่น จากเตาไมโครเวฟ และความเย็นจากตู้เย็นสามารถเพิ่มปริมาณการดูดซึมสารพลาสติกเข้าไปในอาหารได้

แม้แต่พลาสติกที่ใช้กับเตาไมโครเวฟก็อาจก่อให้เกิดอันตรายได้ อันตรายที่มักเกิดขึ้นคือ ผู้บริโภคมักใช้ภาชนะพลาสติกที่ไม่ได้ระบุว่า ใช้กับตู้อบไมโครเวฟอุ่นอาหาร ทำให้พลาสติกละลายเข้าไปในอาหารและยังทำลายรสชาติของอาหารที่อุ่น

ข้อแนะนำสำหรับการใช้ผลิตภัณฑ์พลาสติก

เวลาอุ่นอาหารในตู้อบไมโครเวฟ เลือกภาชนะที่ทำจากแก้วหรือเซรามิคแก้ว หลีกการเลี่ยงการใช้ภาชนะพลาสติก แม้จะระบุว่าปลอดภัยในการใช้กับไมโครเวฟ

ไม่ใช้พลาสติกห่ออาหารในการปรุงหรืออุ่นอาหารในตู้อบไมโครเวฟ

อาหารประเภทเนื้อสัตว์ หรือซีสใช้วัสดุประเภทโฟลีเอ็ทธีลีนห่อเพราะไม่มีสารพลาสติก หรือถ้าจะให้ดีไปกว่านั้นห่อด้วยแผ่นอะลูมิเนียมฟอยล์หรือกระดาษไข

อาหารที่เหลือ เก็บไว้ในภาชนะประเภทที่ทำด้วยแก้ว

ภาชนะพลาสติกที่เก่าชำรุดไม่ควรนำมาใช้ต่อ

เตาไมโครเวฟ

สิ่งที่ผู้บริโภคต้องระวังในการใช้เตาไมโครเวฟ คือ ภาชนะที่ใช้ใส่อาหารประเภทโลหะ กระดาษอะลูมิเนียม นมบรรจุในกล่องกระดาษที่บุด้านในด้วยอะลูมิเนียม จานชามที่มีขอบเป็นโลหะเงินหรือโลหะทอง ไม่ควรใช้กับเตาไมโครเวฟ โลหะ เช่น ลวดที่ใช้มัดถุงพลาสติกควรแกะออก มิฉะนั้นอาจทำให้เกิดการติดไฟ และอาจเกิดไฟไหม้ภายในตู้อบไมโครเวฟได้

สารรังสีที่รั่วจากเตาไมโครเวฟ มีอันตรายเพียงใด

ปริมาณของสารรังสีที่รั่วจากตู้อบไมโครเวฟค่อนข้างต่ำ และไม่อยู่ในเกณฑ์ที่จะก่อให้เกิดอันตราย สิ่งที่แม่บ้านควรระวังเป็นพิเศษ คือ เมื่อวัสดุตามขอบประตูชำรุดหรือหากมีรอยร้าวและรอยแตก เศษอาหารติดอยู่ตามขอบตู้ทำให้ประตูปิดไม่สนิท หรือ การชำรุดของตู้เนื่องจากการขนย้าย หรือเกิดเปลวไฟภายในตู้ จะทำให้มีปริมาณรังสีรั่วมากกว่าระดับปกติซึ่งเป็นอันตรายได้

สำหรับผู้ป่วยโรคหัวใจที่ใส่เครื่องควบคุมระบบการทำงานของหัวใจ (pacemakers) โดยเฉพาะรุ่นเก่าซึ่งไม่สามารถจะป้องกันการรบกวนของคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า จากตู้อบไมโครเวฟเหมือนเครื่องควบคุมรุ่นใหม่ ควรอยู่ห่างจากตู้อบไมโครเวฟประมาณ 5 ฟุต และพบแพทย์ทันทีเมื่อมีอาการผิดปกติ


ขอขอบคุณข้อมูลจากhealth

ทำไมคนเราต้องดื่มน้ำ


ทำไมคนเราต้องดื่มน้ำ (ชีวจิต)

เคยสงสัยไหมว่า ทำไมใคร ๆ ถึงได้คะยั้นคะยอให้คุณพยายามดื่มน้ำ (อย่างน้อย 8 แก้วต่อวัน) กันนัก

เหตุผลก็เพราะ น้ำเป็นสารอาหารที่จำเป็นสำหรับชีวิต เซลล์ทุกเซลล์ล้วนมีน้ำเป็นส่วนประกอบ ถ้านับรวม ๆ แล้ว ในร่างกายเรามีน้ำอยู่ถึง 55 –75 เปอร์เซ็นต์ของน้ำหนักตัว ดังนั้นถ้าร่างกายขาดน้ำเพียงแค่ 10 วัน เราก็ตายแล้ว (ขณะที่คุณสามารถขาดอาหารได้ถึง 70 วัน)

น้ำในร่างกายของเราส่วนใหญ่มาจากน้ำที่เราดื่ม รวมทั้งในอาหารที่เรากิน และเกิดจากกระบวนการเมตาโบลิซึ่มซึ่งทำงานอยู่ตลอดเวลา ประมาณ 2 ใน 3 ของน้ำในร่างกายจะอยู่ในเซลล์ และอีกหนึ่งส่วนที่เหลือจะอยู่ในเลือดและของเหลวต่าง ๆ

น้ำทำหน้าที่สำคัญ ๆ หลายอย่าง เช่น ช่วยย่อยและดูดซึมอาหาร ลำเลียงสารอาหารและของเสียไปตามกระแสเลือด ช่วยในการสร้างปฏิกิริยาทางเคมีของร่างกาย ช่วยหล่อลื่นและรองรับการเคลื่อนไหวของเอ็นข้อต่อต่าง ๆ และช่วยรักษาระดับอุณหภูมิของร่างกาย

อย่างไรก็ตาม ร่างกายของเราไม่เก็บกักน้ำเอาไว้ แต่ละวันจะมีการสูญเสียน้ำตลอดเวลา โดยการขับถ่ายทางปัสสาวะ อุจจาระ ทางผิวหนัง และทางปอด เฉลี่ยมีการสูญเสียน้ำประมาณ 2.65 ลิตรต่อวัน

เพราะเหตุนี้ คุณจึงควรได้รับน้ำทดแทนส่วนที่เสียไป อย่งน้อยไม่ต่ำกว่า 8 แก้วต่อวัน

ปัญหาอยู่ที่ว่า คนส่วนใหญ่ดื่มน้ำไม่เพียงพอต่อความต้องการ เพราะมักดื่มน้ำก็ต่อเมื่อรู้สึกกระหาย ความจริงแล้วเมื่อคุณกระหาย นั่นหมายความว่าร่างกายถึงขั้นเกิดภาวะขาดน้ำแล้ว สัญญาณและอาการของภาวะขาดน้ำ คือ รู้สึกกระหาย ปัสสาวะน้อยลง และปัสสาวะมีสีเหลืองเข้ม (โดยทั่วไปปัสสาวะสีอ่อนจะดีกว่า) ท้องผูก เหนื่อย อ่อนเพลีย ปวดหัว เวียนหัว หน้ามืดตาลาย เป็นตะคริว อุณหูมิร่างกายสูง และความดันเลือดสูงขึ้น

มีรายงานการวิจัยชิ้นใหม่ที่พบว่า การดื่มน้ำให้พอเพียงจะช่วยลดความเสี่ยงต่อการเกิดมะเร็งกระเพาะปัสสาวะด้วย

เคล็ดลับง่าย ๆ ที่จะช่วยให้คุณดื่มน้ำได้อย่งน้อย 8 แก้วต่อวัน คือ ดื่มทันทีหลังจากตื่นนอน ดื่มก่อนอาหาร (ช่วยไม่ให้กินมากเกินด้วย) ดื่มก่อนและหลังออกกำลัง ดื่มทุก 10–15 นาทีระหว่างออกกำลัง ดื่มเมื่อรู้สึกอ่อนเพลีย ดื่มเมื่อปวดหัวหรือเป็นตะคริว ดื่มเมื่อปัสสาวะของคุณเป็นสีเข้ม จิบน้ำอยู่เรื่อย ๆ ตลอดวัน

อย่าลืมว่า น้ำทำให้กระบวนการทุกอย่างในร่างกายทำหน้าที่ได้อย่างราบรื่น ฉะนั้น...ดื่มน้ำซะ
อ้างอิงจากชีวจิต

สำหรับแม่น้อยกว่านี้ได้ยังไง


แม่...คำนี้มีอานุภาพยิ่งใหญ่ในใจลูกทุกคน จนยากที่จะเปรียบเทียบได้กับทุกสรรพสิ่งในโลก ดังคำขวัญที่สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ได้พระราชทานไว้ว่า “แม่เป็นพระอรหันต์ของลูก คนที่เที่ยววิ่งหาพระเพื่อกราบไหว้พระอรหันต์ อย่าลืมว่ามีพระอรหันต์อยู่กับตัวแล้ว ควรปฏิบัติต่อแม่อย่าให้บกพร่องได้” พระคุณของแม่อันประกอบไปด้วยความรักที่มีต่อลูกอย่างสุดหัวใจเช่นนี้ คงไม่ยากจนเกินไปนัก หากเอ่ยคำว่า “รัก” ให้แม่ได้ชื่นใจบ้าง เพราะคุณอาจโชคดีกว่าหลาย ๆ คนที่ได้เพียงแต่รำลึกถึงพระคุณแม่ผ่านภาพและเงาที่ตราตรึงไว้ในความทรงจำเท่านั้นว่า “ลูกรักแม่”

แนะนำตนเอง

ชื่อนางสาวกนกวรรณ์ แคโอชา

ชื่อเล่นน้องเม

บ้านเลขที่56 หมู่24 ตำบลขามใหญ๋ อำเภอเมือง จังหวัดอุบลราชธานี

เบอร์0804853828

สอนโดยครูวีรชน ไพสาทย์